AIS ประกาศเปิดให้บริการ AIS 5G Advanced (5G+) ด้วยเทคโนโลยีรวมคลื่นความถี่แบบ 3CC (3 Component Carrier) อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผสานการทำงานของคลื่น 5G สามย่านหลัก ได้แก่ 2600 MHz, 700 MHz และ 2100 MHz เข้าด้วยกันแบบ Seamless Aggregation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วและความครอบคลุมของเครือข่าย นวัตกรรม 5G+ แบบ 3CC นี้เริ่มเปิดใช้งานในย่านสาทร ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการใช้งาน 5G หนาแน่นที่สุดของกรุงเทพฯ และมีแผนจะขยายไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการใช้งานสูงทั่วประเทศเหมือนกับ 5G+ 2CC ที่เปิดบริการไปก่อนหน้าแล้ว โดยการยกระดับเครือข่ายครั้งนี้มาพร้อมกับการขยายโครงข่าย 5G Standalone (SA) และเปิดใช้เทคโนโลยี Voice over New Radio (VoNR) หรือการโทรเสียงบนเครือข่าย 5G พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อเสริมประสบการณ์การใช้งาน 5G ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า AIS ทุกคน
3CC คืออะไร และดียิ่งขึ้นอย่างไร
คุณวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติ
- 2600 MHz – คลื่นความถี่หลักที่ให้ความเร็วสูง (ย่านความถี่กลางที่มีแบนด์วิธกว้าง เหมาะสำหรับเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลด)
- 700 MHz – คลื่นความถี่ต่ำที่มีคุณสมบัติทะลุทะลวงสูง สามารถส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่กว้างและเข้าถึงภายในอาคารได้ดี
- 2100 MHz – คลื่นความถี่ที่ช่วยเพิ่มความจุ (capacity) ของเครือข่าย รองรับจำนวนผู้ใช้งานหนาแน่นในพื้นที่เมืองได้มากขึ้น
การรวมคลื่นทั้งสามย่านนี้ทำให้มือถือที่รองรับสามารถเชื่อมต่อ หลายคลื่นพร้อมกันแบบไร้รอยต่อ ส่งผลให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน คือ ความเร็วเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 16% และรองรับจำนวนผู้ใช้พร้อมกันได้มากขึ้นราว 23% เมื่อเทียบกับการใช้คลื่นเดี่ยว ด้วยเหตุนี้ AIS จึงวางยุทธศาสตร์นำ 3CC ไปใช้งานในพื้นที่ที่มีการใช้งานหนาแน่นก่อน โดย ย่านสาทร ถือเป็นพื้นที่นำร่องที่เริ่มเปิดใช้ 3CC เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการใช้งาน 5G หนาแน่นมาก (มีการใช้งาน 5G สูงกว่า 4G) และมีสัดส่วนผู้ใช้มือถือ 5G ในพื้นที่มากกว่า 60% ของผู้ใช้ทั้งหมด ทำให้การรวมคลื่น 3CC สามารถดึงประสิทธิภาพเครือข่ายออกมาได้เต็มที่ในเขตนี้ หลังจากสาทร AIS มีแผนทยอยขยายเทคโนโลยี 3CC ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ที่มีความต้องการใช้งาน 5G สูง เพื่อให้ผู้ใช้ในพื้นที่เหล่านั้นได้รับประสบการณ์ 5G+ ที่ดีที่สุดเท่าที่เครือข่ายจะรองรับได้
“เราใช้ Bandwidth เพิ่ม ลูกค้าก็มีการใช้งานเพิ่มขึ้นทันที” คือหลักฐานเชิงพฤติกรรมจากพื้นที่ใช้งานจริง AIS ยืนยันว่าทุกครั้งที่เปิดความถี่ใหม่เพิ่มให้กับ 5G ความต้องการใช้งานของผู้บริโภคในพื้นที่นั้นก็เติบโตตามขึ้นทันที สะท้อนถึงความสอดคล้องระหว่างศักยภาพโครงข่ายกับพฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ คุณวสิษฐ์ กล่าว
เพื่อบรรลุเป้าหมายการให้บริการ 3CC อย่างราบรื่น คุณวสิษฐ์ เปิดเผยว่า ทีมวิศวกรเครือข่ายได้ทำ การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงเชิงลึก ในแต่ละพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเลือกจุดที่เหมาะสมในการเปิดใช้ 3CC โดยพิจารณาจากปริมาณการใช้ดาต้าและสัดส่วนผู้ใช้อุปกรณ์ 5G การเปิด 3CC จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ทั่วประเทศพร้อมกันทันที แต่ต้องเลือก “จุดที่ได้ประโยชน์สูงสุดก่อน” เช่น ในเขต CBD (Central Business District) ของกรุงเทพฯ อย่างสาทร, ปทุมวัน, พญาไท, บางรัก, ดินแดง เป็นต้น ซึ่งพบว่ามีการใช้ 5G หนาแน่นกว่า 4G แล้วในบางช่วงเวลา แนวทางนี้ทำให้การลงทุนอัปเกรดเครือข่ายเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจริงในพื้นที่นั้น ๆ
ร่วมมือผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ปูทางสู่ 5G+ บนมือถือหลากหลายรุ่น
อีกหนึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของการเปิดตัว AIS 5G+ ในครั้งนี้ คือ การทำงานร่วมกับแบรนด์สมาร์ทโฟนต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เป็นเวลานานกว่า 1 ปีที่ผ่านมา คุณวสิษฐ์ ระบุว่า ได้มีการวางแผน โร้ดแมป (roadmap) ร่วมกับผู้ผลิตล่วงหน้า เพื่อทดสอบและพัฒนาซอฟต์แวร์ของสมาร์ทโฟนหลายรุ่นให้รองรับการรวมคลื่น 3CC ดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ และสามารถแสดงผลไอคอน “5G+” บนหน้าจอเมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย AIS 5G ที่รวมสามย่านความถี่แล้วได้จริง ผลจากความร่วมมือนี้ทำให้ปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนหลายรุ่น (ส่วนใหญ่เป็นรุ่นระดับเรือธงและรุ่นระดับกลางถึงสูง) ที่ได้รับอัปเดตให้รองรับ 5G+ บนเครือข่าย AIS เรียบร้อยแล้ว โดย AIS ประเมินว่ามีอุปกรณ์ในมือผู้ใช้ ราว 600,000 เครื่อง (2CC/3CC) ที่สามารถใช้งาน 5G+ และจะเห็นสัญลักษณ์ “5G+” เมื่อเชื่อมต่อเครือข่ายได้ทันที ทั้งนี้ การที่ AIS ทำงานเตรียมความพร้อมกับผู้ผลิตมาอย่างยาวนานล่วงหน้าก่อนเปิดให้บริการจริง ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานนวัตกรรมเครือข่ายใหม่นี้ได้ทันทีบนมือถือที่รองรับ โดยไม่ต้องรอซื้อเครื่องรุ่นใหม่ ลดข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่
สำหรับรายชื่อมือถือที่รองรับและผ่านการทดสอบใช้งาน 5G Advanced แบบ 3CC กับ AIS ได้แก่:
-
Samsung: Galaxy S24 / S24 FE / S24+ / S24 Ultra, Galaxy S25 Series, Z Flip6 / Z Fold6
-
Honor: 400 Pro, Magic 7 Pro
-
iQOO: 13, Neo 10, Z10 5G
-
OPPO: Find N5, X8, X8 Pro, Reno 13 Series
-
Realme: GT 7T
-
vivo: V40 5G, V50
ความร่วมมือระหว่าง AIS กับแบรนด์มือถือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AIS ในการผลักดัน เทคโนโลยี 5G NRCA (New Radio Carrier Aggregation) ให้เกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย โดยการทำงานเชิงรุกกับ ecosystem ทั้งฝั่งเครือข่ายและฝั่งอุปกรณ์ควบคู่กันไป
ยกระดับเครือข่ายสู่ 5G SA เต็มรูปแบบ
พร้อม ๆ กับการเปิดตัว 3CC AIS ยังได้ประกาศ ขยายการให้บริการเครือข่าย 5G แบบ Standalone (SA) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม 5G แบบ “แกนหลักเป็นของตนเอง” ที่ไม่ต้องอาศัยโครงสร้าง 4G มาควบคุมการเชื่อมต่ออีกต่อไป แตกต่างจาก 5G แบบ NSA (Non-Standalone) เดิม การก้าวสู่ 5G SA อย่างเต็มรูปแบบนี้มีข้อดีสำคัญหลายประการ ได้แก่:
- ลดค่าหน่วง (latency) ลงอย่างมาก: เครือข่าย 5G SA มีการตอบสนองที่รวดเร็วกว่า เนื่องจากไม่ต้องส่งข้อมูลผ่านโครงข่าย 4G อีกชั้น ทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันเรียลไทม์ (เช่น เกมออนไลน์, วิดีโอคอล) มีความหน่วงต่ำลงอย่างชัดเจน
- ความเร็วและความเสถียรที่เหนือกว่า: 5G SA สามารถจัดสรรทรัพยากรเครือข่ายได้มีประสิทธิภาพกว่า ส่งผลให้ความเร็วเฉลี่ยต่อผู้ใช้ดีขึ้น และสัญญาณนิ่งขึ้นโดยไม่ถูกแบ่งปันกับทราฟฟิก 4G เหมือนแต่ก่อน
- รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัยในอนาคต: สถาปัตยกรรม SA เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ นวัตกรรมขั้นสูง เช่น AI/AR/VR, Cloud Gaming, ยานยนต์ไร้คนขับ, และ Network Slicing สำหรับแยกส่วนเครือข่ายเฉพาะทาง ซึ่งไม่สามารถทำได้บนโครงข่าย NSA
VoNR – การโทรออก-รับสายยุคใหม่ บนเครือข่าย 5G
อีกนวัตกรรมหนึ่งที่เปิดใช้งานควบคู่กับ 5G SA คือ VoNR (Voice over New Radio) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ การโทรศัพท์ด้วยเสียงเกิดขึ้นบนเครือข่าย 5G โดยตรง โดยไม่ต้องสลับสัญญาณกลับไปใช้เครือข่าย 4G หรือ 3G ระหว่างการโทรเหมือนระบบเดิม ก่อนหน้านี้แม้ผู้ใช้จะเชื่อมต่อ 5G สำหรับอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อมีสายโทรเข้าหรือโทรออก เครื่องมัก fallback สู่โหมด 4G (VoLTE) ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์ไม่ต่อเนื่อง การใช้ VoNR จะแก้ปัญหานี้และมอบคุณภาพเสียงระดับสูงบน 5G อย่างแท้จริง โดยมี จุดเด่น ที่เหนือกว่าการโทรแบบเดิมดังนี้:
- เสียงคมชัดระดับ HD: ด้วยแบนด์วิธและโค้เด็กเสียงที่ดีกว่า ทำให้การสนทนาผ่าน VoNR มีความคมชัดของเสียงสูง เสียงพูดเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- โทรติดเร็วขึ้น: เวลาหน่วงในการเชื่อมต่อสายโทรลดลง ผู้ใช้จะรู้สึกว่าโทรติดแทบจะทันทีเมื่อกดโทรออก และสายเข้าเรียกเข้ามาได้ไวกว่าเดิม (ลดอาการที่โทรเข้ามาแล้วเครือข่ายใช้เวลาสลับโหมด)
- เล่นเน็ตไปพร้อมโทรได้ลื่นไหล: ผู้ใช้สามารถใช้งานดาต้า (เช่น ท่องเว็บ เล่นโซเชียล หรือแม้แต่เล่นเกมออนไลน์/ดูวิดีโอ) ขณะสนทนาโทรศัพท์ไปพร้อมกันได้โดยไม่สะดุด การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะไม่หลุดหรือช้าลงแม้ขณะมีสายเสียง
เทคโนโลยี VoNR นี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและไร้รอยต่อในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่นิยมใช้งานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ระหว่างประชุมสายก็สามารถเปิดแอปส่งข้อความหรือเช็กอีเมลไปด้วย หรือกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพเสียงสนทนาที่ดีที่สุดก็จะได้รับประโยชน์เต็มที่ AIS ถือเป็นเครือข่ายแรกของไทยที่เปิดใช้งาน VoNR บนโครงข่าย 5G SA อย่างสมบูรณ์ ซึ่งตอกย้ำถึงความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีโครงข่ายของ AIS เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น
นอกจากนี้ คุณวสิษฐ์ ยังชี้ให้เห็นถึงนวัตกรรมเครือข่าย Dual Connectivity ระหว่าง Voice กับ Data ที่เกิดขึ้นจริงผ่าน VoNR และ 5G SA โดยหนึ่งในไฮไลต์ที่กล่าวถึงคือความสามารถ Dual SIM Dual Active (DSDA) บนสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด ที่ทำให้สมาร์ทโฟน 2 ซิมสามารถใช้งาน ดาต้าซิมหนึ่งไปพร้อมกับรับสายโทรเข้าอีกซิมหนึ่ง ได้พร้อมกันโดยไม่มีสะดุด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ต้องอาศัย VoNR ในการทำงานร่วมกับ 5G SA สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าเครือข่าย 5G SA + VoNR ของ AIS ไม่ได้เพียงเพิ่มความเร็ว แต่ยัง เปิดโอกาสใหม่ๆ ในการใช้งานสื่อสารที่เครือข่ายยุคก่อนทำไม่ได้
สัญญาณครอบคลุมทุกจุด แม้ในอุโมงค์ระหว่างก่อสร้าง
ในการให้บริการเครือข่าย โทรคมนาคม “คุณภาพของสัญญาณ” ในทุกสถานที่ที่มีผู้ใช้งานถือเป็นหัวใจสำคัญที่ AIS เน้นย้ำ คุณวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ ระบุ AIS มีแนวคิดว่า “ทุกจุดที่มีคนใช้งาน ต้องมีสัญญาณคุณภาพให้บริการ” ดังนั้นนอกจากการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้งในเมืองและนอกเมืองแล้ว ทีมงาน AIS ยังใส่ใจ จุดอับสัญญาณพิเศษ ที่คนทั่วไปอาจคาดไม่ถึงด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ขยายสัญญาณชั่วคราวภายใน อุโมงค์รถไฟใต้ดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อให้วิศวกรหรือคนงานที่ปฏิบัติงานใต้ดินสามารถสื่อสารผ่านเครือข่าย AIS ได้ตลอดเวลาแม้ในพื้นที่อับสัญญาณ อีกตัวอย่างคือการติดตั้งสถานีฐานและเสาสัญญาณตามอาคารสูงระฟ้าและชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่จุดใด – บนตึกสูง ใต้ดิน ในลิฟต์ หรือในพื้นที่ห่างไกล – สัญญาณ AIS จะยังคงเข้าถึงและให้บริการได้อย่างมีคุณภาพสม่ำเสมอ
แนวทางการลงทุนเชิงรุกในโครงข่ายต่อเนื่องมาตลอด เห็นได้ชัดจากการที่ AIS มีสถานีฐาน 5G มากที่สุดและใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ที่มีอยู่ครบทุกย่านอย่างเต็มที่ ปัจจุบัน AIS ถือครองคลื่นย่านต่ำ (700 MHz), ย่านกลาง (1800/2100/2600 MHz) และย่านสูง (26 GHz) มากที่สุดในอุตสาหกรรม เกือบทั้งหมดเป็นความจุระดับ SuperBlock ทำให้การออกแบบเครือข่ายสามารถผสมผสานคุณสมบัติของแต่ละย่านความถี่เพื่อให้ครอบคลุมทั่วถึงและรองรับปริมาณทราฟฟิกได้สูง ข้อมูลจาก AIS ระบุว่าในหลายจังหวัดตอนนี้สัญญาณ 5G ของ AIS ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานไปแล้วไม่น้อยกว่าสัญญาณ 4G และในบางอำเภอเริ่มเห็นผู้ใช้งานเปลี่ยนมาใช้ 5G เป็นหลัก แซงหน้าการใช้ 4G แบบเดิมแล้ว
เครือข่ายเร็วขึ้น 16% รองรับผู้ใช้มากขึ้น 23% – การันตีประสบการณ์ 5G ที่เหนือกว่า
จากข้อมูลการทดสอบภาคสนามในพื้นที่ที่เปิดใช้งาน 3CC (5G+) แล้ว พบว่าความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% เมื่อเทียบกับก่อนรวมคลื่น และที่สำคัญคือเครือข่ายสามารถรองรับ จำนวนผู้ใช้งานพร้อมกันได้เพิ่มขึ้นประมาณ 23% โดยที่ยังคงคุณภาพความเร็วและเสถียรภาพไว้ได้ หมายความว่าในชั่วโมงที่มีการใช้งานหนาแน่น (เช่น ช่วงพักกลางวันในย่านออฟฟิศ หรืองานเทศกาลที่คนรวมตัวกันเยอะ ๆ) ผู้ใช้ AIS 5G+ จะยังคงใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ราบรื่นกว่า เพราะแต่ละเซลล์ไซต์รองรับคนได้มากขึ้นโดยไม่แออัด ผลพลอยได้อีกประการของการรวม 3 คลื่นคือการลดปัญหา สัญญาณแกว่ง หรือความเร็วตกเมื่อมีผู้ใช้หนาแน่น เนื่องจากระบบสามารถกระจายโหลดการใช้งานไปยังคลื่นหลายย่าน ทำให้แต่ละย่านรับภาระน้อยลงเมื่อเทียบกับการใช้คลื่นเดียว สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป นวัตกรรมนี้หมายถึงการได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ “เร็วขึ้น ชัดขึ้น ลื่นขึ้น” อย่างสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูงที่ไม่สะดุด, การเล่นเกมออนไลน์ที่ latency ต่ำลง, หรือการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ที่เสร็จเร็วกว่าเดิม เป็นต้น
นอกจากนี้ การรวมคลื่น 3CC ยังช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ ที่มีอยู่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้นไปอีก คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและมีต้นทุนสูง (จากการประมูล) การที่ AIS สามารถนำคลื่นทุกย่านที่ถือครองมาใช้งานพร้อมกันได้ หมายถึงการดึงศักยภาพของสินทรัพย์ (asset) ออกมาใช้สร้างบริการแก่ลูกค้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย วิธีนี้ดีกว่าการปล่อยบางคลื่นให้ว่างหรือใช้งานไม่เต็มที่ ขณะที่บางคลื่นหนาแน่นเกินไป AIS ย้ำว่าบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะใช้คลื่นความถี่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคไทย ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ
AIS เดินหน้าด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อเครือข่ายรองรับอนาคต
การเปิดตัว AIS 5G Advanced (5G+ แบบ 3CC) พร้อมขยายการให้บริการ 5G SA และ VoNR สะท้อนถึงความเป็นผู้นำของ AIS ในการยกระดับโครงข่ายสู่มาตรฐานใหม่ของประเทศ AIS ไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการรายแรกในไทยที่นำ VoNR บนเครือข่าย 5G SA มาให้บริการจริง แต่ยังเป็นผู้ริเริ่มใช้เทคโนโลยี 3CC อย่างเต็มรูปแบบในระดับภูมิภาคอีกด้วย
คุณวสิษฐ์ กล่าวถึงภารกิจนี้ว่า “ภารกิจสำคัญของ AIS คือการนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G มาเชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลของลูกค้าในทุกมิติ” ซึ่งการเปิดใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความเร็ว แต่เพื่อสร้างเครือข่ายที่ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ครอบคลุม และทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง มุมมองที่ไม่หยุดพัฒนา และความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด AIS จึงตอกย้ำสถานะ “The Best Network for All Thais” อย่างแท้จริง ทั้งด้านความเร็ว ความครอบคลุม และคุณภาพการให้บริการที่ตอบโจทย์คนไทยทุกเจเนอเรชัน