ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยอาจจะเริ่มนำคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz หรือที่ในระบบ 5G เรียกว่า n3 มาใช้งานสำหรับบริการ 5G ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ และได้รับการยอมรับว่าเหมาะสมทั้งในแง่ของความครอบคลุมและความเร็ว บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า n3 มีคุณสมบัติเด่นอย่างไร เหตุใดจึงน่าจับตามองสำหรับการให้บริการ 5G ในไทย พร้อมทั้งเจาะลึกการใช้งานร่วมกับ 4G (DSS), ตัวอย่างจากต่างประเทศ และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทั้งฝั่งโอเปอเรเตอร์และผู้ใช้งาน

คลื่น 1800 MHz (5G n3) คืออะไรและดีอย่างไร

คลื่น 1800 MHz หรือ ย่าน 1.8 GHz เป็นความถี่กลางช่วงหนึ่งที่ถูกกำหนดในมาตรฐาน 5G NR ให้มีรหัสเป็น n3 (สอดคล้องกับ LTE Band 3 เดิม) ความโดดเด่นของย่านนี้คือเป็นคลื่นที่ผู้ให้บริการมือถือทั่วโลกมีใช้อยู่แล้วในระบบ 3G/4G เดิมอย่างแพร่หลาย ทำให้สามารถ re-farm (นำคลื่นเดิมมาปรับใช้ใหม่) สำหรับ 5G ได้สะดวก โดยไม่ต้องรอการจัดสรรคลื่นใหม่ๆ อีกทั้งอุปกรณ์โครงข่ายและสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ก็รองรับคลื่น 1800 MHz อยู่แล้วตั้งแต่อดีต จึงสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ที่พร้อมใช้งานได้ทันที

ข้อดีด้านคุณสมบัติคลื่น: สัญญาณที่ความถี่ ~1.8 GHz ถือว่าอยู่ในกลุ่ม คลื่นความถี่ปานกลาง (mid-band) ซึ่งมีจุดสมดุลที่ดีระหว่างพื้นที่ครอบคลุมและความจุข้อมูล เมื่อเทียบกับคลื่นความถต่ำ (เช่น 700 MHz) และความถี่สูง (เช่น 2600 MHz หรือ mmWave) โดยคลื่น 1800 MHz สามารถกระจายได้ไกลและทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางได้ดี ให้สัญญาณครอบคลุมเป็นวงกว้างและเข้าถึงภายในอาคารได้มีประสิทธิภาพ มากกว่าคลื่นความถี่สูงอย่าง 2600 MHz หรือ 3.5 GHz ที่มักถูกลดทอนเมื่อผ่านกำแพงหนา นอกจากนี้คลื่น mid-band อย่าง 1800 MHz ยังรองรับ ความกว้างแบนด์วิธต่อช่องสัญญาณสูงสุดถึง ~30 MHz ต่อหนึ่งตัวพาหะ ซึ่งแม้จะไม่กว้างเท่าคลื่น 5G ช่วง 3.5 GHz (ที่รองรับได้ถึง 100 MHz ต่อช่อง) แต่ก็เพียงพอให้บริการ 5G ที่มีความเร็วและความจุสูงกว่าระบบ 4G เดิมได้อย่างชัดเจน

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ ทำให้ คลื่น 1800 MHz (n3) กลายเป็นหนึ่งในย่านความถี่ยอดนิยมสำหรับการทดลองและให้บริการ 5G ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะหาใช้งานได้ง่ายและตอบโจทย์ทั้งด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ กล่าวได้ว่าการนำคลื่น 1800 MHz มาใช้กับ 5G เป็นการเพิ่มศักยภาพเครือข่ายบนทรัพยากรคลื่นเดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การใช้งานคลื่น 5G n3 ในต่างประเทศ

ทั่วโลกมีผู้ให้บริการหลากหลายรายที่เปิดใช้ 5G บนย่าน 1800 MHz แล้ว ไม่ว่าจะในยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง หรือละตินอเมริกา ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ซาอุดิอาระเบีย และ บราซิล ต่างก็มีเครือข่าย 5G ที่ใช้คลื่น n3 (1800 MHz) ให้บริการจริงแล้วทั้งสิ้น แสดงถึงความนิยมในระดับนานาชาติของคลื่นย่านนี้

กรณีตัวอย่าง: ใน อินโดนีเซีย ผู้ให้บริการ XL Axiata ได้เปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์โดยใช้ เทคโนโลยี Dynamic Spectrum Sharing (DSS) บนคลื่น 1800 MHz และ 2100 MHz ที่ถือครองอยู่ ซึ่งช่วยให้ 5G ใช้งานร่วมกับ 4G ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดคลื่นเดิม โดยกระทรวงสื่อสารอินโดนีเซียได้ออกใบอนุญาตให้ XL ใช้ความกว้างแบนด์วิธ 20 MHz ในย่าน 1800 MHz (ช่วงความถี่ 1807.5–1827.5 MHz) สำหรับ 5G นี้ การดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้อินโดนีเซียมีบริการ 5G ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แม้ยังไม่มีการประมูลคลื่นใหม่ก็ตาม

อีกกรณีหนึ่งในยุโรป O2 เยอรมนี ได้ให้บริการ 5G Standalone (5G SA) ภายใต้แบรนด์ “5G Plus” ซึ่งเป็นการผสมผสานคลื่นทุกย่านที่มีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดยโครงข่าย 5G Plus นี้ใช้งานทั้ง คลื่นต่ำ 700 MHz, คลื่นกลาง 1800 MHz และคลื่นสูง 3600 MHz ควบคู่กัน เพื่อขยายสัญญาณครอบคลุมพื้นที่กว้าง (ด้วย 700/1800) พร้อมกับรองรับความเร็วและความจุสูงในจุดที่มีทราฟฟิกหนาแน่น (ด้วย 3.6 GHz) แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่าคลื่น 1800 MHz มีบทบาทเป็น “คลื่นกลาง” ที่ช่วยเติมเต็มระหว่างย่านต่ำกับย่านสูง สร้างสมดุลทั้งด้านพื้นที่บริการและขีดความสามารถของเครือข่าย 5G

จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าคลื่น 1800 MHz มี ความยืดหยุ่น ในการนำไปใช้งานหลายรูปแบบ – ทั้งการเปิด 5G อย่างรวดเร็วผ่าน DSS ควบคู่ไปกับ 4G เดิม และการผสานเข้ากับคลื่นย่านอื่น ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา ต่างก็สามารถใช้ประโยชน์จากย่านความถี่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแชร์คลื่น 1800 MHz ร่วมกันระหว่าง 4G/5G ด้วย DSS

หนึ่งในเทคโนโลยีกุญแจที่ทำให้การใช้คลื่น 1800 MHz กับ 5G เป็นไปอย่างราบรื่นคือ Dynamic Spectrum Sharing (DSS) หรือการแบ่งปันคลื่นความถี่ระหว่าง 4G LTE และ 5G NR พร้อมกันแบบไดนามิก โดยไม่ต้องแบ่งคลื่นเป็นส่วนตายตัวล่วงหน้า แนวคิดคือสถานีฐานจะจัดสรรทรัพยากรคลื่นให้แก่สัญญาณ 4G หรือ 5G แบบเฟรมต่อเฟรม ตามความต้องการใช้งานจริง ณ ขณะนั้น ทำให้ผู้ให้บริการสามารถให้บริการ 5G บนย่านความถี่เดิมร่วมกับ 4G ได้ ทันทีโดยไม่ต้องปิดหรือย้ายระบบ 4G ที่มีอยู่ก่อนนับเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเพิ่มความรวดเร็วในการขยายเครือข่าย 5G

ข้อดีของ DSS: สำหรับ โอเปอเรเตอร์ การใช้ DSS ช่วยเพิ่มพื้นที่ครอบคลุม 5G ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอคลื่นใหม่หรือปิดคลื่นเดิม เช่น กรณี AIS มีฐานสถานี 4G บน 1800 MHz กระจายทั่วประเทศอยู่แล้ว การอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้สถานีเหล่านั้นปล่อยสัญญาณ 5G ควบคู่ไปด้วยสามารถทำได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง นั่นหมายความว่าเพียงปล่อยซอฟต์แวร์อัปเดตเครือข่าย ก็อาจเปิด 5G บนคลื่น 1800 MHz ได้แทบจะทั่วประเทศภายในเวลาไม่นาน

สำหรับผู้ใช้งาน เทคโนโลยี DSS จะช่วยให้มือถือที่รองรับ 5G สามรถเชื่อมต่อสัญญาณ 5G บนคลื่น 1800 MHz ควบคู่ไปกับการใช้งาน 4G ในพื้นที่เดียวกันได้อย่างราบรื่น กล่าวคือผู้ที่ใช้งานมือถือ 4G และ 5G บนคลื่นนี้ จะสามารถรับบริการได้พร้อมกันอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีผลกระทบต่อกัน เครือข่ายจะจัดสรรสัญญาณให้โดยอัตโนมัติว่ามือถือเครื่องไหนควรเชื่อมต่อ 4G หรือ 5G โดยไม่ต้องเปลี่ยนหรือเลือกเครือข่ายด้วยตนเอง ดังนั้นผู้ใช้งานทุกคนจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตามความสามารถของอุปกรณ์ที่ตนเองใช้อยู่ โดยที่เครือข่าย 4G บนคลื่น 1800 MHz ก็ยังคงให้บริการควบคู่ไปกับ 5G ได้ในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปิดบริการแต่อย่างใด

หมายเหตุ: แม้ DSS จะมีข้อดีเรื่องความยืดหยุ่น แต่ทางเทคนิคอาจมี โอเวอร์เฮด (ภาระข้อมูลส่วนควบคุม) เพิ่มขึ้นจากการที่สัญญาณ 4G/5G ต้องแบ่งช่วงกัน ซึ่งอาจทำให้ ความจุรวมของช่องสัญญาณลดลงเล็กน้อย (มีการวัดว่าการใช้ DSS อาจทำให้ capacity ลดลงประมาณ 10–20% ขึ้นกับวิธีการ implement) อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการสามารถบริหารจัดการช่วงสัญญาณควบคุมเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพได้ และยอมรับ trade-off นี้เพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องเสียคลื่นความถี่ไปโดยเปล่าประโยชน์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ใช้งาน 4G ลดลง โอเปอเรเตอร์ก็สามารถจัดสรรสัดส่วนคลื่นให้ 5G มากขึ้น (โอเวอร์เฮดลดลงตามสัดส่วน) ดังนั้นในระยะยาว DSS คือทางเลือกที่คุ้มค่า เพื่อให้การอัปเกรดสู่ 5G เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุดภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่

ประสิทธิภาพการใช้คลื่น 1800 MHz ที่ดีขึ้นในยุค 5G

คำถามที่หลายคนสนใจคือ การนำคลื่น 1800 MHz มาใช้กับ 5G จะเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นเพียงใด เมื่อเทียบกับการให้บริการ 4G เดิมบนคลื่นเดียวกัน เรื่องนี้สามารถมองได้จากหลายมุม ทั้ง อัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้น, ความหน่วง (latency) ที่ลดลง, และ จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับต่อสถานีฐานที่มากขึ้น ซึ่งล้วนเป็นจุดแข็งของเทคโนโลยี 5G

1. อัตราความเร็วและความจุ (Throughput & Capacity): ระบบ 5G New Radio (NR) ถูกออกแบบให้มี spectral efficiency สูงกว่า LTE กล่าวคือส่งข้อมูลได้ “บิตต่อวินาทีต่อ 1 Hz ของความถี่” มากขึ้น ตัวอย่างในทางทฤษฎีพบว่า 5G สามารถส่งข้อมูลได้ ~23 บิต/วินาที/Hz บนดาวน์ลิงก์ (DL) ในกรณีช่องสัญญาณกว้าง 100 MHz ขณะที่ 4G LTE ในสภาพใกล้เคียงกันส่งได้ประมาณ ~15 บิต/วินาที/Hz ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้นราว 50% ของ 5G เมื่อเทียบกับ 4G ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม ดังนั้นในการใช้คลื่น 1800 MHz หากนำเทคโนโลยี 5G มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ (เช่น โหมด SA ที่ใช้เฉพาะ 5G) ย่อมมีศักยภาพที่จะให้ ความเร็วและความจุของช่องสัญญาณสูงกว่า 4G บนความถี่เดียวกัน โดยอาจเพิ่มขึ้นได้เป็นหลักสิบเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเสาอากาศ (MIMO) และโมดูเลชันที่ใช้

ในทางปฏิบัติ ปัจจุบันการให้บริการ 5G NSA บน 1800 MHz (แบบ DSS) แม้บางส่วนยังต้องใช้ทรัพยากรร่วมกับ 4G แต่ผู้ใช้ก็จะพบว่าความเร็วเฉลี่ยดีขึ้นจากเดิม เนื่องจากเครื่องลูกข่าย 5G สามารถใช้ประโยชน์จากเทคนิค 256-QAM, 4×4 MIMO และช่วงสัญญาณอ้างอิงที่สั้นลงของ 5G ร่วมกับคลื่น 1800 MHz ได้ ทำให้ความเร็วต่อเครื่องสูงขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งาน carrier aggregation (CA) รวมกับคลื่นอื่นพร้อมกันเพื่อดึงความเร็วเพิ่มขึ้น (รายละเอียดในหัวข้อถัดไป) ยิ่งไปกว่านั้น ระบบ 5G มีการบริหารจัดทรัพยากรที่ฉลาดขึ้น ลดความหน่วงของการส่งต่อข้อมูล ทำให้ เครือข่ายรองรับผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมากขึ้น โดยยังรักษาประสิทธิภาพได้ดี ซึ่งช่วยแก้ปัญหาช่วงเวลาที่โครงข่ายหนาแน่น (เช่น ชั่วโมงเร่งด่วนหรือในอีเวนต์คนเยอะ) ผู้ใช้จะยังคงได้รับประสบการณ์ data ที่ราบรื่นกว่าเดิม

2. ความหน่วงต่ำและคุณภาพบริการ: แม้คลื่น 1800 MHz จะไม่ใช่ตัวกำหนดความหน่วงโดยตรง แต่การนำ 5G มาใช้จะเปิดทางให้รองรับ โหมด Standalone (SA) ในอนาคต ซึ่งจะลด Latency ลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 4G ปัจจุบัน (เป้าหมายของ 5G คือความหน่วงระดับ <10 ms หรือต่ำกว่านั้น) เมื่อ 5G บน 1800 MHz ถูกใช้งานในโหมด SA พร้อมกับคลื่นความถี่ต่ำอื่น (เช่น 700 MHz) ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์เรื่องการตอบสนองที่ฉับไว เหมาะกับบริการเรียลไทม์ เช่น เกมออนไลน์, AR/VR, video call ความละเอียดสูง เป็นต้น นอกจากนี้ 5G ยังรองรับ network slicing ซึ่งช่วยจัดแบ่งคุณภาพบริการให้เหมาะกับแอปพลิเคชันแต่ละประเภท ดังนั้นการมี 5G ในทุกย่านความถี่ (รวม 1800 MHz) จะช่วยให้โอเปอเรเตอร์สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นและหลากหลายขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มได้

การรวมความถี่ (5G NR-CA) และ “5G+” บนย่าน 1800 MHz

5G NR Carrier Aggregation (NR-CA) คือความสามารถในการใช้งาน คลื่นความถี่หลายย่านพร้อมกัน บนเครือข่าย 5G เพื่อเพิ่มความเร็วและความจุเสมือนรวมเป็น “ท่อใหญ่” เดียวให้แก่ผู้ใช้คนหนึ่ง ย่าน 1800 MHz (n3) สามารถนำมาทำ CA ข้ามย่าน (inter-band CA) กับคลื่น 5G อื่น ๆ ได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น มีการระบุในมาตรฐานว่า สามารถรวม CA ระหว่าง n3 + n7 + n28 + n78 (1800 MHz FDD + 2600 MHz FDD + 700 MHz FDD + 3500 MHz TDD) พร้อมกันได้ ซึ่งในที่นี้ n28 คือคลื่น 700 MHz ที่ช่วยเรื่องพื้นที่และทะลุกำแพง, ส่วน n7/n78 คือคลื่น 2600–3500 MHz ที่ให้แบนด์วิธกว้างสำหรับความเร็วสูง ดังนั้น n3 (1800 MHz) เมื่อรวมเข้ากับคลื่นเหล่านี้ก็จะยิ่งเสริมข้อดีซึ่งกันและกัน

สำหรับในประเทศไทยเอง AIS มีทั้ง คลื่นต่ำ 700 MHz (n28) และ คลื่นสูง 2600 MHz (n41) อยู่แล้ว การนำ 1800 MHz (n3) มาร่วมใช้งาน 5G จะเปิดโอกาสให้ ทำ 5G CA ระหว่าง n28 + n3 + n41 + n1 ซึ่งครอบคลุมครบทุกย่านความถี่หลักได้ในอนาคต การรวมกันของสี่ย่านนี้จะทำให้เครือข่าย 5G ของ AIS มีทั้ง ระยะครอบคลุมที่ไกล (700 MHz), คุณภาพสัญญาณเสถียรในอาคาร (1800/2100 MHz) และ แบนด์วิธขนาดใหญ่รองรับความเร็วระดับกิกะบิต (2600 MHz) ไปพร้อมกัน เมื่ออุปกรณ์ปลายทางรองรับ CA ดังกล่าว ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า Single Band อย่างชัดเจน เช่น สปีดดาวน์โหลด/อัปโหลดสูงขึ้น, การเชื่อมต่อไม่สะดุดแม้ขณะเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่สัญญาณหลากหลาย และความจุ cell site เพิ่มขึ้นรองรับคนจำนวนมากขึ้นโดยยังรักษาความเร็วได้ดี

นิยาม “5G+”: ในบางประเทศมีการใช้คำว่า “5G+” เป็นการตลาดเพื่อสื่อถึงบริการ 5G ที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งอาจหมายถึงการนำ เทคนิค Carrier Aggregation หลายย่าน มาทำให้ความเร็วสูงขึ้นกว่าปกติ หรือการใช้งาน คลื่นความถี่สูงพิเศษ (เช่น mmWave ย่าน 26–28 GHz) เพื่อให้ได้สปีดระดับหลายกิกะบิตต่อวินาที เมื่อ AIS มีการใช้ 5G บน 1800 MHz ร่วมกับคลื่นอื่นๆ ก็นับได้ว่าอยู่ในกลุ่ม 5G+ เช่นกัน เนื่องจากเครือข่ายสามารถให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่า 5G พื้นฐาน (ที่อาจใช้ทีละย่าน) โดยในอนาคตหาก AIS เปิดใช้ mmWave 26 GHz (n258) เพิ่มในบางพื้นที่เฉพาะ เช่น ใจกลางเมืองหรือฮอตสปอต สำหรับงานที่ต้องการสปีดสูงมาก ก็จะยิ่งเติมเต็ม ecosystem ของ 5G Advanced ได้ครบวงจรยิ่งขึ้น

โดยสรุปแล้ว ความสามารถ NR-CA ทำให้ คลื่น 1800 MHz ไม่ได้ทำงานแบบโดดเดี่ยว แต่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการรวมพลังกับคลื่นอื่น ช่วยให้เครือข่าย 5G ของ AIS มี ทั้งความครอบคลุมกว้างและความเร็วสูงในเวลาเดียวกัน พร้อมต่อยอดสู่บริการใหม่ๆ ที่ต้องการศักยภาพเครือข่ายสูงในอนาคต

ประโยชน์สำหรับผู้ให้บริการ (โอเปอเรเตอร์)

การนำคลื่น 1800 MHz มาใช้กับ 5G มอบข้อดีหลายประการแก่ฝั่งผู้ให้บริการเครือข่าย อย่างกรณีของ AIS สามารถสรุปได้ดังนี้:

  • ใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ที่มีอยู่ให้คุ้มค่าสูงสุด: คลื่น 1800 MHz เดิมที่ใช้ใน 4G สามารถนำมารองรับ 5G ได้พร้อมกัน ทำให้ไม่เสีย โอกาสค่าเช่าคลื่น ไปโดยเปล่าประโยชน์แม้ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี

  • ประหยัดต้นทุนและเวลา: ไม่ต้องรอหรือประมูลคลื่นความถี่ใหม่ให้สิ้นเปลือง – DSS ช่วยให้ ขยายเครือข่าย 5G ได้โดยไม่ต้องซื้อคลื่นเพิ่มหรือหยุด 4G ที่มีอยู่ ลดค่าใช้จ่ายในการถือครองคลื่นและอุปกรณ์ใหม่

  • อัปเกรดเครือข่ายได้รวดเร็ว: ด้วยสถานีฐาน 4G เดิมบน 1800 MHz ที่มีอยู่ทั่วประเทศ AIS สามารถเปิดใช้งาน 5G บนคลื่นนี้อย่างครอบคลุมแทบจะทันทีผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ ไม่ต้องติดตั้งเสาใหม่หรืออุปกรณ์วิทยุใหม่จำนวนมาก ลดเวลา rollout จากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์ในบางกรณี

  • เพิ่มความจุรวมของระบบ: แม้ 1800 MHz จะมีแบนด์วิธจำกัด (20 MHz ที่ถือครอง) แต่การเสริม 5G ลงไปหมายถึงมี ท่อข้อมูลเพิ่มขึ้น โอเปอเรเตอร์สามารถรองรับ จำนวนผู้ใช้พร้อมกันได้มากขึ้น ~33% จากเดิม (ตามหลักการว่าการเพิ่มความกว้างช่องสัญญาณจาก 15 MHz เป็น 20 MHz เคยเพิ่มความสามารถรองรับลูกค้า ~33% ในเครือข่าย 4G มาแล้ว นอกจากนี้เทคนิค 5G ยังช่วยเพิ่มปริมาณบิตที่ส่งต่อ Hz ได้สูงขึ้น ทำให้ความจุสุทธิโดยรวมของเครือข่ายดีกว่าเดิม

  • ยืดหยุ่นในการจัดสรร 4G/5G: DSS ทำให้ AIS สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนทราฟฟิก 4G และ 5G บนคลื่น 1800 ตาม พฤติกรรมผู้ใช้งานจริงแบบเรียลไทม์ – ช่วงใดที่ผู้ใช้ 5G มากก็จัดทรัพยากรเพิ่มให้ 5G และลดทรัพยากร 4G ลง (และกลับกัน) ส่งผลให้เครือข่ายใช้ทุก MHz อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีส่วนไหนถูกทิ้งว่าง

  • เตรียมพร้อมสู่อนาคต 5G Advanced/6G: การมีโครงสร้างพื้นฐาน 5G บนทุกย่านความถี่ (700/1800/2100/2600 MHz เป็นต้น) ทำให้ AIS พร้อมสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นต่อไป เช่น 5G-Advanced (Rel.18+) หรือแม้แต่ 6G ในอนาคต โดยมีฐานคลื่นความถี่ครอบคลุมทุกช่วงสำหรับรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น URLLC (Ultra-Reliable Low Latency) หรือการให้บริการ IoT จำนวนมหาศาล (mMTC) ที่ต้องการความครอบคลุมทั่วถึง

ในภาพรวม ฝั่งโอเปอเรเตอร์อย่าง AIS จะได้รับประโยชน์ในเชิง ต้นทุน, ประสิทธิภาพ, และความพึงพอใจของลูกค้า จากการใช้ 5G บนคลื่น 1800 MHz ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เครือข่ายและการแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างมาก

ประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานมือถือ

สำหรับผู้ใช้ปลายทาง การมาของ 5G บนคลื่น 1800 MHz โดย AIS จะสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นหลายด้าน ดังนี้:

  • พื้นที่ครอบคลุม 5G กว้างและทั่วถึงขึ้น: เดิมที AIS มี 5G บนคลื่น 700 MHz (ครอบคลุมดีมาก) และ 2600 MHz (ความจุสูงในพื้นที่หนาแน่น) การเพิ่ม 1800 MHz เข้ามาจะ เติมเต็มช่องว่าง ระหว่างสองย่านนี้ ผู้ใช้จะเห็นสัญญาณ 5G ปรากฏในพื้นที่ที่อาจเคยมีแต่ 4G มาก่อน (เช่น ภายในอาคารลึกๆ หรือพื้นที่นอกเมืองบางแห่งที่ 2600 MHz ไปไม่ถึง) เนื่องจาก 1800 MHz มีคุณสมบัติครอบคลุมระยะไกลและทะลุกำแพงได้ดีใกล้เคียง 700 MHz แต่มีแบนด์วิธกว้างกว่า ทำให้ 5G จะพร้อมใช้งานในชีวิตประจำวันได้แพร่หลายยิ่งขึ้น ไม่จำกัดอยู่เฉพาะใจกลางเมือง

  • คุณภาพสัญญาณและความเร็วที่ดีขึ้น: ด้วยการที่มือถือ 5G สามารถเชื่อมต่อ พร้อมกัน ทั้งคลื่น 700 + 1800 + 2100 + 2600 MHz (ผ่าน CA) หรืออย่างน้อยมี 1800 MHz เป็นโครงข่าย 5G เพิ่มมา ผู้ใช้จะสัมผัสได้ว่า ความเร็วเฉลี่ยในการดาวน์โหลด/อัปโหลดดีขึ้น ความหน่วงลดลงเล็กน้อย และที่สำคัญคือ ความเสถียรของเครือข่ายสูงขึ้น (stable connection) แม้อยู่ในสภาวะที่มีผู้ใช้หนาแน่น ทั้งนี้เพราะโครงข่ายมีทรัพยากรความถี่เพิ่มและระบบ 5G จัดสรรทราฟฟิกได้มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาคอขวดในช่วงเวลาที่เคยแออัดบน 4G เดิม

  • สัญญาณ 5G ในอาคารแข็งแรงขึ้น: ปัญหาหนึ่งของ 5G ย่านความถี่สูงคือเมื่ออยู่ภายในอาคารหรือจุดอับสัญญาณ ผู้ใช้มักตกกลับไปใช้ 4G เนื่องจากคลื่น 3.5 GHz สัญญาณอ่อนลงมากเมื่อผ่านกำแพง แต่เมื่อ AIS ปล่อย 5G บน 1800 MHz เพิ่ม เติมจาก 700 MHz ที่มีอยู่ ก็จะทำให้ การใช้งาน 5G ในอาคารหรือมุมอับมีคุณภาพดีขึ้น (สัญญาณทะลุเข้าอาคารลึกกว่าเดิม) ผู้ใช้ในตึกสูง, ห้างสรรพสินค้า, อาคารสำนักงาน จะยังคงได้รับสปีด 5G ที่น่าพอใจ ลดจุดอับที่ต้องถอยไปใช้ 4G ลง

  • รองรับอุปกรณ์หลากหลายและบริการใหม่ๆ: คลื่น 1800 MHz เป็นย่านมาตรฐานสากลที่สมาร์ทโฟน 5G เกือบทุกรุ่นรองรับอยู่แล้ว (เพราะ backward compatible จาก 4G band 3) ผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ ก็ใช้ 5G คลื่นนี้ได้ทันที ตราบใดที่เครื่องรองรับ 5G ทุกเครื่องก็แทบจะรองรับ n3 โดยปริยาย นอกจากนี้ เมื่อ 5G ครอบคลุมกว้างขึ้น ผู้ใช้ก็สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ที่ต้องการ 5G ได้ง่ายขึ้น เช่น สตรีมวิดีโอ 4K/8K, เล่นเกม Cloud Gaming, ใช้งานแว่น AR/VR หรือ IoT ภายในบ้าน/สำนักงาน ฯลฯ โดยไม่ติดข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ให้บริการ

  • ประสบการณ์การสื่อสารที่ต่อเนื่องและไร้รอยต่อ: การที่ AIS ใช้ DSS ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนผ่านระหว่าง 4G/5G – โทรศัพท์ยังคงรับส่งข้อมูลได้ต่อเนื่อง ไม่มีช่วงสัญญาณว่างหรือบริการสะดุด เมื่อต้องสลับโหมดเครือข่าย ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตเมื่อ AIS เปิดใช้ 5G SA บน 1800 MHz อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้จะสามารถใช้งาน Voice over NR (VoNR) หรือการโทรเสียงบนเครือข่าย 5G ได้ คราวนี้การโทรด้วยเสียงผ่านเครือข่าย AIS ก็จะมีคุณภาพเสียงคมชัดและต่อสายติดไวมาก (เนื่องจากไม่ต้องสลับลงไปโทรผ่าน 4G หรือ 3G เหมือนใน NSA) ซึ่งเป็นผลพลอยได้เสริมจากการมี 5G ในย่านความถี่กลางที่เพียงพอรองรับบริการทุกประเภท

โดยสรุป ฝั่งผู้ใช้งานจะได้ประโยชน์เป็นรูปธรรมจาก 5G บนคลื่น 1800 MHz ในแง่ของ ความครอบคลุมที่มากขึ้น, ความเร็วและความเสถียรที่ดีขึ้น, การใช้งานในอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น และความพร้อมสำหรับบริการยุคใหม่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในฝั่งผู้ใช้เลย (ใช้มือถือที่รองรับอยู่แล้วได้ทันที) นับเป็นการยกระดับประสบการณ์การสื่อสารที่น่าตื่นเต้นสำหรับลูกค้า AIS

บทสรุป: AIS กับอนาคต 5G บนคลื่น 1800 MHz

การนำคลื่น 1800 MHz (n3) มาให้บริการ 5G ถือเป็นก้าวสำคัญของ AIS ในการยกระดับคุณภาพบริการให้แก่ผู้ใช้ทั่วประเทศ แนวทางนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ AIS ที่มุ่งใช้คลื่นความถี่ทุกย่านอย่างเต็มประสิทธิภาพในการขยายเครือข่าย 5G – ตั้งแต่การ repurpose คลื่น 2100 MHz มาทำ 5G, การทดลอง 5G mmWave ความเร็วระดับกิกะบิต ไปจนถึงการพัฒนา carrier aggregation 3-4CA เป็นรายแรกของไทย – สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AIS จริงจังกับการเป็นผู้นำด้านโครงข่าย 5G ขั้นสูงในประเทศ การเพิ่มคลื่นกลาง 1800 MHz เข้ามาจะช่วยเติมเต็ม “สามเหลี่ยมคลื่นความถี่” ของ AIS ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น (Low–Mid–High) ส่งผลให้เครือข่ายสามารถมอบทั้งความครอบคลุมที่กว้างและได้ความเร็วที่สูงขึ้นในเวลาเดียวกัน

AIS ได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการคลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเทคโนโลยีใหม่เข้าสู่ระบบให้พร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงประสบการณ์ 5G ที่ครอบคลุมมากขึ้น มีความเร็วและความเสถียรที่ดีขึ้น ได้ประสิทธิภาพระดับพรีเมียม รวมถึงการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาว

ท้ายที่สุดแล้ว การเปิดให้บริการ 5G บนคลื่น 1800 MHz โดย AIS เปรียบเสมือนการ “ปูพรมผืนกลาง” ให้เครือข่าย 5G พร้อมรองรับการใช้งานในวงกว้าง ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้งานต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน ถือเป็นพัฒนาการที่ช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของ AIS และยกระดับประสบการณ์การสื่อสารของคนไทยให้สอดคล้องกับแนวโน้มเทคโนโลยีระดับสากล

Comments

comments