เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สายเคเบิลอินเทอร์เน็ตใต้น้ำหลายเส้นในทะเลแดงถูกตัดขาด ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกและตั้งคำถามถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตโลกที่พึ่งพาสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก
ผลกระทบเป็นวงกว้าง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณทะเลแดงใกล้ชายฝั่งเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยมีสายเคเบิลสำคัญที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ SEA-ME-WE 4, IMEWE และ FALCON ซึ่งเป็นสายเคเบิลหลักที่เชื่อมโยงระหว่างทวีปเอเชีย, ตะวันออกกลาง และยุโรป เมื่อสายเหล่านี้ขัดข้องพร้อมกัน ส่งผลให้ความจุการรับส่งข้อมูลลดลงอย่างมาก
ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือ อินเดีย, ปากีสถาน, คูเวต และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งผู้ใช้งานรายงานว่าอินเทอร์เน็ตมีความเร็วลดลงและขาดความเสถียร แม้ว่าผู้ให้บริการจะพยายามปรับเส้นทางการจราจรข้อมูลไปใช้สายเคเบิลสำรอง แต่คุณภาพการเชื่อมต่อโดยรวมก็ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แนวโน้มไม่ใช่อุบัติเหตุ
สาเหตุที่แท้จริงของการตัดขาดของสายเคเบิลยังไม่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่างการสืบสวนว่าเกิดจากอุบัติเหตุหรือการโจมตีโดยเจตนา ซึ่งมีความเป็นไปได้ดังนี้:
- การโจมตีโดยตั้งใจ: เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในบริบทความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค โดยมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของ กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งเคยโจมตีเรือพาณิชย์ในพื้นที่นี้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮูตีได้ออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้
- อุบัติเหตุ: อีกข้อสันนิษฐานคืออาจเกิดจากอุบัติเหตุทางกายภาพ เช่น เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่ถูกโจมตีจนลอยลำในทะเลแดงอาจปล่อยสมอลงและไปเกี่ยวกับสายเคเบิลจนขาด เนื่องจากบริเวณนี้มีการจราจรทางเรือหนาแน่น
การซ่อมแซมและแนวทางแก้ไขในอนาคต
หลังเกิดเหตุ หน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเบื้องต้นด้วยการเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลไปยังสายเคเบิลสำรองที่ยังใช้งานได้เพื่อลดผลกระทบ แต่การซ่อมแซมสายเคเบิลใต้น้ำที่เสียหายโดยตรงถือเป็นงานที่ยุ่งยากและใช้เวลาหลายสัปดาห์ เนื่องจากต้องจัดส่งเรือซ่อมแซมเฉพาะทางไปยังจุดเกิดเหตุ และอาจเผชิญความท้าทายด้านความปลอดภัยหากต้องเข้าพื้นที่ความขัดแย้ง
เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่โยงใยไปทั่วโลก ถึงแม้จะมีระบบสำรอง แต่ก็ยังอาจได้รับผลกระทบหนักจากเหตุไม่คาดฝันหรือการก่อวินาศกรรมได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนป้องกันในอนาคต เช่น การเพิ่มเส้นทางสายเคเบิลสำรองให้มากขึ้น หรือการเฝ้าระวังความปลอดภัยของสายเคเบิลในพื้นที่เสี่ยงภัยให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้ เนื่องจากไทยมีเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศหลายเส้นที่เชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น และต่อไปยังสหรัฐฯ–ยุโรป ซึ่งไม่ได้ผ่านทะเลแดงทั้งหมด