TelecomLover ได้มีโอกาสไปร่วมทริป Routes to Roots : Lanna Culture Route ที่จัดโดย The Cloud และ True Corporation ในครั้งนี้ มอบประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งกว่าการไปเที่ยวทั่วไป เพราะนี่คือทริปที่ตั้งใจพาเราไป ‘เปิดประสบการณ์เที่ยวลึกถึงรากผ่านกิจกรรมและเรื่องเล่าจากผู้คนในพื้นที่’ และในขณะเดียวกัน มันคือการได้ลงไปพิสูจน์ให้เห็นว่า “ข้อมูล” จากเครือข่ายโทรคมนาคมที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ซึ่งสนับสนุนโดย True – Dtac กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างการท่องเที่ยวได้อย่างไร และนี่คือเรื่องราวที่กำลังจะเล่าผ่านเลนส์ของ TelecomLover
Mobility Data คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
หัวใจของเรื่องราวทั้งหมดคือ Mobility Data พูดให้ง่ายที่สุด มันคือข้อมูลมหภาคที่ได้จากการประมวลผลสัญญาณการใช้งานโทรศัพท์มือถือในเครือข่ายแบบนิรนาม (Anonymous) โดยไม่ระบุตัวตนผู้ใช้งาน แต่สามารถบอก “พฤติกรรม” ในภาพรวมได้อย่างแม่นยำและเป็นปัจจุบัน
โดยปกติแล้ว ข้อมูลการเคลื่อนที่ของผู้คนในภาพรวม (Mobility Data) ถือเป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล สามารถนำไปใช้วางผังเมือง, ออกแบบระบบขนส่งมวลชน, หรือแม้แต่การรับมือภัยพิบัติได้เลยทีเดียว แต่สิ่งที่พิเศษในโครงการนี้ คือการที่ผู้ให้บริการอย่าง True Corporation ตั้งใจนำข้อมูลอันทรงพลังนี้มามอบให้เพื่อใช้ประโยชน์กับ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” โดยเฉพาะ ดังนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีที่ทำได้ แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเอกชนสามารถนำศักยภาพหลักของตัวเอง (ในที่นี้คือข้อมูลจากโครงข่ายโทรคมนาคม) มาช่วยยกระดับและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศในมิติที่เราอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน มันคือการเปลี่ยน “สัญญาณมือถือ” ให้กลายเป็น “เข็มทิศนำทางการท่องเที่ยว” ของประเทศนั่นเอง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของคนไทยกว่า 502.5 ล้านทริป ตามข้อมูลที่ได้จาก TRUECORP ทำให้เราเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลัก Evidence-Based Policy Making (EBPM) คือการใช้นโยบายที่อ้างอิงจากข้อมูลเชิงประจักษ์ ไม่ใช่ความรู้สึก ซึ่งสำหรับคนสายเทคอย่างเราๆนี่คือสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดครับ
ภาพใหญ่จาก Data: ปัญหาความเหลื่อมล้ำในคลัสเตอร์ล้านนา
เมื่อนำ Data มาส่องดู “คลัสเตอร์ล้านนา” สิ่งแรกที่เห็นคือภาพความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน ข้อมูลฟ้องว่าเชียงใหม่คือศูนย์กลางที่แท้จริง โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวไปถึง 63.60% และกินส่วนแบ่งการพักค้างไป 58.41% ขณะที่ลำพูนและลำปางมีสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก ที่น่าสนใจคือ คลัสเตอร์นี้มี “สัดส่วนการท่องเที่ยวแบบไปกลับ” สูงกว่าที่อื่น และมีปริมาณการเดินทาง “ระหว่างจังหวัด” ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย พูดง่ายๆ คือ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาถึงเชียงใหม่แล้วก็กลับ โดยไม่ได้เดินทางต่อไปยังเมืองข้างเคียง นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ Data ชี้ให้เห็นว่าเราต้องหาทางแก้ไข
แก่นแท้ของคลัสเตอร์: พลังศรัทธาและวิถีล้านนาที่ Data ชี้เป้า
แล้วอะไรคือสิ่งที่ดึงดูดผู้คน? Data บอกเราว่าหัวใจของคลัสเตอร์นี้คือ “มรดกทางวัฒนธรรมและย่านเมืองเก่า” ซึ่งทริปนี้ก็ได้พาเราไปสัมผัสแก่นแท้นั้นผ่านเส้นทางสายบุญ สายธรรมะที่เปี่ยมด้วยพลังศรัทธา สำหรับสายมูหรือผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และศิลปะ ทริปนี้คือที่สุดครับ เราเริ่มต้นกันที่ลำพูน เมืองแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน สักการะพระธาตุคู่เมืองที่ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร และตามรอยปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัยที่ วัดจามเทวี
จากนั้นเดินทางสู่ลำปาง เมืองที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดและประทับใจอย่างยิ่ง เราได้ไปเยือนวัดสำคัญมากมาย ตั้งแต่พระธาตุประจำปีเกิดที่ วัดพระธาตุลำปางหลวง, วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต, วัดไหล่หินหลวง วัดโบราณที่งดงามราวกับภาพวาด และ วัดปงสนุก ที่ได้รับรางวัลจาก UNESCO ก่อนจะปิดท้ายเส้นทางที่เชียงใหม่ ณ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงคู่บ้านคู่เมือง และนอกเหนือจากพลังแห่งศรัทธาแล้ว ทริปนี้ยังพาเราไป ไขวิถีชีวิตของชาวล้านนาผ่านเรือนโบราณสารพัดรูปแบบ ที่ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช. อีกด้วย การได้ขึ้นไปบนเรือนชาน เข้าชมห้องหับของเรือนกาแล เรือนไทลื้อ ไปจนถึงเรือนเครื่องผูก ทำให้เราเข้าใจถึงภูมิปัญญาและความเชื่อที่หล่อหลอมวิถีชีวิตของคนล้านนาได้อย่างลึกซึ้ง ประสบการณ์เหล่านี้ยืนยันสิ่งที่ข้อมูลบอกเล่า ว่าพลังแห่งศรัทธาและวัฒนธรรมคือแม่เหล็กที่ทรงพลังที่สุดของคลัสเตอร์นี้
โอกาสที่ซ่อนอยู่: ปลุกศักยภาพเมืองรองด้วยประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อ Data ชี้ให้เห็นว่าลำปางและลำพูนต้องการแม่เหล็กใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางต่อและพักค้างนานขึ้น ทริปนี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่านอกจากการไหว้พระทำบุญแล้ว เมืองเหล่านี้ยังมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่อีกมหาศาล
“หัวใจของการปลุกเมืองรองคือการดึงเอา ‘เสน่ห์เฉพาะตัว’ ของพื้นที่ออกมาสร้างเป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวหาจากที่อื่นไม่ได้” อาจารย์ธวัชชัย ทำทอง อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
ประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากคือการได้ ลองทำก้านหอมกลิ่นละไมที่ผสานแรงบันดาลใจจากโคมล้านนาที่ GHOM LANNA ซึ่งเป็นการนำมรดกทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว หรือเสน่ห์หนึ่งเดียวในไทยอย่างการ นั่งรถม้าชมเมืองลำปาง ที่พาเราลัดเลาะไปตามบ้านเมืองเก่าแก่ สิ่งเหล่านี้คือ “ประสบการณ์เฉพาะตัว” ที่ข้อมูลบอกเราว่าสามารถนำมาเป็นจุดขายเพื่อแก้ปัญหาการท่องเที่ยวแบบ “ทัวร์ชะโงก” ได้
ลูกค้าคนสำคัญ: Data ชี้เป้ากลุ่มเป้าหมายที่คาดไม่ถึง
ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับคนรักดาต้า คือการค้นพบโปรไฟล์ลูกค้าที่การสำรวจแบบเดิมๆ อาจมองไม่เห็น สำหรับคลัสเตอร์ล้านนา Data ชี้ไปที่กลุ่มที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาย อายุ 61 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ นิยมศิลปวัฒนธรรมและการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สอดคล้องกับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการแสวงบุญอย่างยิ่ง โดยมีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ในอำเภอของจังหวัดลำพูนและลำปางที่มีสนามกอล์ฟอีกด้วย!
“ข้อมูลนี้ทำให้เราเห็นว่านโยบายท่องเที่ยวแบบ ‘One-Size-Fits-All’ อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป แต่เราสามารถออกแบบสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยว ‘กลุ่มเฉพาะ’ ในแต่ละพื้นที่ได้” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม และผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“จากข้อมูลสู่คุณค่า: ปั้นล้านนาให้ยั่งยืนด้วย Mobility Data”
ในยุคที่การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวรุนแรงขึ้นทุกวัน ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่งบโฆษณามหาศาลหรือแลนด์มาร์กที่ใครๆ ก็รู้จักอีกต่อไป แต่อยู่ที่ “ข้อมูล” และความสามารถในการแปรเปลี่ยนข้อมูลนั้นให้เกิดผลจริง Mobility Data จาก True คือแหล่งพลังงานใหม่ที่จะพลิกเกมการท่องเที่ยวไทย จากการวางแผนตามความรู้สึก สู่การตัดสินใจด้วยข้อมูลที่จับต้องได้
นี่ไม่ใช่แค่การนับจำนวนคน แต่คือการกางแผนที่พฤติกรรมและความสนใจของนักท่องเที่ยว เพื่อเปลี่ยนเมืองรองอย่างลำพูนและลำปางจาก “จุดแวะพัก” ให้กลายเป็น “จุดหมายหลัก” ในใจของนักเดินทางยุคใหม่ที่มองหาประสบการณ์ท้องถิ่นที่ไม่ซ้ำใคร
ดังนั้น ใครที่เข้าใจและใช้ข้อมูลนี้ก่อน คือผู้ที่จะสร้างความได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทัน ถึงเวลาแล้วที่ผู้กำหนดนโยบาย ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการท้องถิ่นต่างๆ ต้องลงมือใช้ Mobility Data เป็นเข็มทิศในการวางกลยุทธ์และลงทุน เพราะในสมรภูมิการท่องเที่ยววันนี้ ข้อมูลไม่ใช่แค่ ‘ทรัพยากร’ แต่คือ ‘อาวุธ’ ชิ้นสำคัญที่จะใช้ปลดล็อกมูลค่าและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในการท่องเที่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน