กรุงเทพฯ 30 กันยายน 2563 – Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก ประกาศความสำเร็จหลังได้รับการจัดอันดับให้เป็นซัพพลายเออร์โมดูล DRAM ประเภทบุคคลที่สาม (Third-party) อันดับต้นของโลก ในการจัดอันดับตามรายได้ล่าสุดโดยบริษัทด้านการวิเคราะห์ TrendForce (เดิมชื่อ DRAMeXchange) Kingston ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 80.33% โดยประมาณ ด้วยรายได้ 12,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งปี 2562 นี้นับเป็นปีที่ 17 ติดต่อกันที่ Kingston ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับสูงสุดโดย TrendForce

TrendForce ระบุว่าราคาจำหน่ายของ DRAM ที่ลดลงในปี 2562 เป็นผลจากอุปทานที่มากเพียงพอ ประกอบกับความต้องการที่ลดลงทั้งจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์และเครื่องลูกข่าย ส่งผลให้ผู้ผลิตโมดูลหลายรายมีรายได้ลดลง ซึ่งตามข้อมูลของนักวิเคราะห์นั้น Kingston ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่เอาชนะแนวโน้มตลาดนี้ได้ และมีส่วนแบ่งการตลาดที่เติบโตขึ้น โดย Kingston สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าและลูกค้า เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดและความต้องการที่เปลี่ยนแปลง

ผลการจัดอันดับซัพพลายเออร์โมดูล DRAM 10 อันดับแรกโดย TrendForce มีดังต่อไปนี้:

เทคโนโลยีการพิมพ์แผงวงจรบนเวเฟอร์แบบใหม่ เพิ่มความหนาแน่นของ DDR4 DRAM

ขณะที่อุตสาหกรรมหน่วยความจำกำลังเปลี่ยนผ่านจากโมดูลแบบ 8Gbit ในปัจจุบันไปสู่ 16Gbit ทาง Kingston เตรียมช่วยเหลือลูกค้าและตอบโจทย์ด้วยการสร้างความเข้ากันได้ระหว่างชิปที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นแบบใหม่ให้ทำงานได้บนแพลตฟอร์มดั้งเดิม เทคโนโลยีการพิมพ์แผงวงจรบนเวเฟอร์ใหม่ใน DRAM แบบ 16 Gbit สามารถประหยัดพลังงานได้เหนือกว่าแบบ 8Gbit เดิม ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่บนคอมพิวเตอร์พกพาและลดต้นทุนในศูนย์ข้อมูลลง และยังช่วยเพิ่มความจุต่อโมดูลได้ในขณะเดียวกัน Kingston เริ่มส่งมอบหน่วยความจำ Registered DIMMS ขนาด 64GB ตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว และได้ปรับปรุงสายผลิตภัณฑ์ Server Premier ใหม่ทั้งหมดให้เป็นโซลูชันแบบ 16Gbit ในเดือนกรกฎาคม 2563

Kingston กล่าวว่า “ผลการวิจัยเชิงบวกจาก TrendForce สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท และความเป็นผู้นำของเราในฐานะผู้ผลิตโซลูชัน DRAM ประเภท Third-party โดยตำแหน่งสูงสุดของเราในตลาดช่วยให้เราทำงานได้อย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าและผู้จำหน่าย และสามารถมอบความรู้และแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปใช้โมดูลบบ 16Gbit ซึ่งความก้าวหน้าดังกล่าวจะช่วยเพิ่มการเติบโตของการประมวลผลบนคลาวด์ ศูนย์ข้อมูล Edge และเครือข่าย 5G”

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ kingston.com

สามารถติดตาม Kingston ได้ที่:

Facebook: https://www.facebook.com/kingstonthailand/

YouTube: http://www.youtube.com/user/KingstonAPAC

Comments

comments