ในวันที่ 2 ของงาน Intel Vision ที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก อินเทลได้โฟกัสไปที่วิธีการในการตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นขององค์กรในปัจจุบัน และช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคต ด้วยการมุ่งเน้นที่องค์ประกอบด้านความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับองค์กร นั่นคือ ความไว้วางใจ อินเทลได้เปิดตัวหน่วยงานด้านความไว้วางใจอิสระ (Independent Trust Authority) ในรูปแบบของการนำนวัตกรรมระบบความปลอดภัยตามประเภทการบริการมาใช้งาน ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Project Amber นอกจากนี้ อินเทลยังแสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นในด้านการเปิดใช้งานระบบ AI ที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อไปสำหรับยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่กำลังจะมาถึง

เกร็ก ลาเวนเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่ม Software and Advanced Technology Group ของอินเทลกล่าวว่า ในขณะที่องค์กรต่างๆ ยังคงใช้ประโยชน์จากคุณค่าของระบบคลาวด์ การรักษาความปลอดภัยจึงมีความสำคัญสูงสุดมากกว่าที่เคย ความไว้วางใจนั้นควบคู่ไปกับความปลอดภัย และเป็นสิ่งที่ลูกค้าของเราคาดหวังและต้องการ เมื่อส่งมอบบริการต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีของอินเทล ด้วยการเปิดตัวProject Amber นั้น อินเทลได้ยกระดับการประมวลผลที่เป็นความลับไปสู่ระดับที่สูงขึ้นผ่านความมุ่งมั่นของเราในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Zero-Trust) เพื่อการรับรองและการตรวจสอบสินทรัพย์การประมวลผลทั้งบนเครือข่าย เอดจ์ (Edge) และคลาวด์

การรับประกันความน่าเชื่อถือสำหรับแรงงานไฮบริด (Hybrid Workforce)

ธุรกิจต่างๆ ล้วนดำเนินการและพึ่งพาระบบคลาวด์เพื่อสนับสนุนพนักงานที่ทำงานจากที่อื่นที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายเครื่อง รวมถึงเครื่องมือในการเข้าถึงและการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ โซลูชันเทคโนโลยีต่างๆ จึงจำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เพียงแต่ในหน่วยความจำและระหว่างการถ่ายข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องรักษาความปลอดภัยขณะการใช้งานด้วย เพื่อปกป้องทรัพย์สินอันมีค่าและลดพื้นที่ในการโจมตี นอกจากนี้ Project Amber ยังช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์การประมวลผลจากระยะไกลในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทั้งในระบบคลาวด์ เอดจ์ และภายในองค์กร โดยบริการดังกล่าว มีการทำงานที่แยกจากผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่โฮสต์ปริมาณเวิร์กโหลดการประมวลผลที่เป็นความลับ 

Confidential computing เป็นการปกป้องข้อมูลในขณะใช้งาน ด้วยการคำนวณในสภาพแวดล้อมการดำเนินการที่เชื่อถือได้บนฮาร์ดแวร์ (Trusted Execution Environment: TEE) ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโต โดย Intel® Software Guard Extensions (Intel® SGX) ที่พร้อมใช้งานบนแพลตฟอร์ม Intel® Xeon® Scalable เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนการประมวลผลที่เป็นความลับ ทำให้เกิดการใช้งานระบบคลาวด์ที่เป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่ต้องจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเป็นประจำ  

พื้นฐานของความไว้วางใจในสภาพแวดล้อมของการประมวลผลที่เป็นความลับนั้น ถูกกำหนดขึ้นผ่านกระบวนการรับรอง โดยการตรวจสอบความถูกต้องของความน่าเชื่อถือดังกล่าว เป็นข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับลูกค้าในการปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญา ในขณะที่พวกเขาย้ายปริมาณงานที่ละเอียดอ่อนไปยังคลาวด์ และเพื่อเพิ่มการรับประกันความน่าเชื่อถือ พร้อมขับเคลื่อนสัญญาของการประมวลผลที่เป็นความลับสำหรับอุตสาหกรรมในวงกว้าง ทำให้อินเทลประกาศเปิดตัว Project Amber ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการสร้างรูปแบบใหม่ของบริการ multi-cloud และ multi-TEE สำหรับการรับรองจากบุคคลที่สาม: 

บริการดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนคลาวด์ โดยบริการนี้จะสนับสนุนด้านเวิร์กโหลดการประมวลผลที่เป็นความลับในคลาวด์สาธารณะ ภายในคลาวด์ส่วนตัว/ไฮบริด และที่เอดจ์ โดยการแทรกแซงโดยบุคคลที่สามนั้น เพื่อช่วยให้การรับรองสามารถมีความเป็นกลางและอิสระ เพื่อยกระดับความมั่นใจในการประมวลผลที่เป็นความลับให้กับผู้ใช้งาน 
โดยในเวอร์ชันแรก Project Amber มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนด้านเวิร์กโหลดการประมวลผลที่เป็นความลับ ในรูปแบบเซิร์ฟเวอร์ Bare Metal, เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machines: VMs) และคอนเทนเนอร์ที่ทำงานในเครื่องเสมือนโดยใช้ Intel TEEs การเปิดตัวครั้งแรกจะรองรับเฉพาะ Intel TEEs โดยมีแผนในการขยายความครอบคลุมไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึง TEEs ในอุปกรณ์ดีไวซ์หลากประเภท และ TEEs ประเภทอื่นๆ ในอนาคต 
อินเทลยังทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (Independent Software Vendors: ISVs) เพื่อเปิดใช้งานบริการที่เชื่อถือได้ ซึ่งรวมถึงProject Amber โดยเครื่องมือซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น API ที่ได้รับการเผยแพร่จะช่วยให้ ISV สามารถควบรวมกับ Project Amber เพื่อเสริมศักยภาพซอฟต์แวร์และบริการ ส่งผลให้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีของอินเทลสามารถนำคุณค่าที่มากขึ้นมาสู่ลูกค้าและพันธมิตรทางการค้าต่างๆ 

อินเทลวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการนำร่องสำหรับลูกค้า Project Amber ภายในสิ้นปี 2565 ตามด้วยบริการที่พร้อมใช้งานสำหรับประชาชนทั่วไปในต้นปี 2566  

ปูทางสู่ AI ที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ 

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นขับเคลื่อนเทคโนโลยีให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น ทำให้ข้อมูลเชิงลึกและระบบอัตโนมัติสามารถรองรับงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ด้วยการแพร่กระจายของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน แนวภัยคุกคามก็เติบโตขึ้น เช่นเดียวกับความกังวลด้านความปลอดภัยโดยรอบ นั่นคือเหตุผลที่อินเทลมุ่งมั่นที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลลัพธ์ AI ที่ใช้เป็นแรงผลักดันให้เกิดผลดี อินเทลยังเน้นย้ำถึงคำถามสำคัญที่นักเทคโนโลยีควรถามก่อนตัดสินใจดำเนินการพัฒนาต่อไปนั่นคือ เทคโนโลยีมีส่วนในการพัฒนาสังคมของเราหรือไม่?

การรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล รวมทั้งความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวถือเป็นหัวใจหลักของความมุ่งมั่นต่อการวิจัยในระดับแนวหน้าของอินเทล โดยอินเทลได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการเพิ่มศักยภาพ เพื่อปรับใช้ AI ที่มีความรับผิดชอบและปลอดภัย เพื่อนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

BeeKeeper AI ใช้ความสามารถด้านความปลอดภัยบนฮาร์ดแวร์จากIntel SGX และโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลที่เป็นความลับจากMicrosoft Azure เพื่อมอบแพลตฟอร์มแบบ ZeroTrust ที่ช่วยให้อัลกอริทึม AI สามารถคำนวนเมตริกกับชุดข้อมูลทางการแพทย์ในโลกปัจจุบัน โดยไม่กระทบกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลหรือทรัพย์สินทางปัญญาของโมเดลอัลกอริทึม ึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเร่งความเร็วในการพัฒนาและปรับใช้นวัตกรรม AI ทางการแพทย์ได้มากกว่า 30% ถึง 40% เมื่อเทียบกับวิธีการปัจจุบัน
ความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างอินเทลและคณะแพทศาสตร์ภาคส่วนFeTS มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย หรือที่รู้จักกันในนาม Perelman School of Medicine’s Federated Tumor Segmentation ได้มีการใช้ชุดฮาร์ดแวร์ของอินเทล รวมไปถึงเทคโนโลยีซอฟต์แวร์แบบ Open-source เพื่อปรับปรุงการฝึกอบรบการใช้โมเดล AI ในการค้นหาเนื้องอกในสมองนอกจากนี้ เทคโนโลยีของอินเทลยังช่วยให้แน่ใจว่าแต่ละสถาบันสามารถมีส่วนร่วมในการปรับปรุงด้านความถูกต้องและคุณภาพของอัลกอรึทึมด้านการอนุมานโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Open Federated Learning หรือ OpenFL โดย OpenFL ได้ช่วยให้ 55 สถาบันจากทั้ง 6 ทวีปสามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุดข้อมูลแต่ละชุด ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ของโมเดล AI ที่สามารถระบุตำแหน่งของเนื้องอกในสมองได้แม่นยำขึ้นถึง 33%  

การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบยังถือเป็นตัวอย่างของการที่อุตสาหกรรมได้มารวมตัวกันเพื่อปูทางให้กับการปรับใช้งาน AI ในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข ด้านบริการทางการเงิน ฝ่ายการผลิต การค้าปลีกและด้านความบันเทิง เป็นต้น  

การเข้ารหัสแบบต้านทานควอนตัมเพื่ออนาคตคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ปลอดภัย

ในขณะที่เทคโนโลยีควอนตัมยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญในแขนงภายหลังยุคควอนตัม (post-quantum) คาดว่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมจะเข้าถึงสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์จุดบกพร่องแห่งสหัสวรรษ (millennium bug)หรือที่หลายคนเรียกมันว่าY2Q”

การประมวลผลควอนตัมส่งผลกระทบทั้งการเข้ารหัสคีย์แบบสมมาตรและแบบสาธารณะ (symmetric and public key cryptography) และจะต้องการให้ระบบนิเวศทั้งหมดนำความเฉลียวฉลาดและการทำงานร่วมกันมาเพื่อค้นหาโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้พร้อมรับ Y2Q หรือการต้านทานควอนตัมภายในปี 2573 ถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มดำเนินการ โดยอินเทลกำลังพัฒนาไปป์ไลน์เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่สมบูรณ์เพื่อเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมที่ต้านทานควอนตัม รวมถึงการเร่งความเร็วการเข้ารหัสลับแบบติดตั้งในตัวในแพลตฟอร์มIntel Xeon Scalable เจนเนอเรชั 3 ที่ให้การรักษาความปลอดภัยแบบรุ่นต่อไปโดยไม่มีการลดทอนประสิทธิภาพ

อินเทลกำลังทำงานเชิงรุกเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม บริษัทได้พัฒนาแนวทางการเข้ารหัสลับสำหรับผลิตภัณฑ์ของอินเทล ซึ่งสนับสนุนความพยายามในการสร้างมาตรฐานการเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม และกำลังประเมินตระกูลใหม่ของอัลกอริธึมการเข้ารหัสลับ (crypto algorithms) ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นมาตรฐาน โดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งชาติ (National Institute of Standards and Technology Secure: NIST)

อินเทลได้ปรับใช้แนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการประมวลผลแบบควอนตัม ดังนี้

แก้ไขปัญหาการเก็บเกี่ยวข้อมูล โดยการเพิ่มขนาดคีย์และการย่อยข้อมูล สำหรับอัลกอริธึมการเข้ารหัสลับแบบสมมาตร
เพิ่มความคงทนของแอปพลิเคชันการเซ็นโค้ด เช่น การรับรองความถูกต้องของเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ด้วยอัลกอริธึมที่ทนทานต่อควอนตัม ซึ่งจะช่วยป้องกันการโจมตีที่ทำลายการเข้ารหัสลับแบบคลาสสิกเพื่อเรียกใช้โค้ดที่เป็นอันตราย
รักษาความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ต ด้วยอัลกอริธึมการเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัมที่ได้มาตรฐานโดย NIST ซึ่งรวมถึงการห่อหุ้มคีย์และอัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัลที่เป็นพื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมทางเว็บ

เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยไม่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความต้องการในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้ อินเทลมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้จากแพลตฟอร์มเดิมของพวกเขา  

Comments

comments