ผลการประมูลคลื่นความถี่ล่าสุด (29 มิ.ย. 2568)

ในการประมูลคลื่นความถี่วันที่ 29 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา กสทช. ได้นำคลื่น 4 ย่าน ออกประมูล ได้แก่ 850 MHz, 1500 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz โดยมีผู้เข้าร่วมเพียง 2 รายคือ AIS และ True ผลปรากฏว่า AIS ชนะการประมูลคลื่น 2100 MHz ได้มา 3 ชุดความถี่ (รวมแบนด์วิธ 2×15 MHz) ขณะที่ True ชนะการประมูลคลื่น 2300 MHz จำนวน 7 ชุด (รวม 70 MHz แบบ TDD) และคลื่น 1500 MHz จำนวน 4 ชุด (20 MHz) ส่วนคลื่น 850 MHz ไม่มีผู้ร่วมประมูล จากผลประมูลครั้งนี้ ทำให้ AIS และ True ยังคงถือครองคลื่นคนละย่านเพิ่มเติมตามกลยุทธ์ (AIS รักษาคลื่นหลัก 2100 MHz ไว้ ส่วน True เก็บคลื่นใหม่ 2300/1500 MHz) แต่ที่สำคัญคือ ภาพรวมปริมาณคลื่นความถี่รวมของ AIS ยังมากกว่า True หลังการประมูลนี้

คลื่นมากไม่พอ ต้องใช้เป็น! วิเคราะห์ศักยภาพ AIS–True หลังประมูลคลื่น

ภาพรวมการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมไทยได้เข้าสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 5G อย่างเต็มรูปแบบ คำถามสำคัญคือ เครือข่ายใดมีความพร้อมและศักยภาพในการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง? การจะตอบคำถามนี้ได้ ต้องพิจารณาจากปัจจัยชี้วัดสำคัญ 3 มิติ ได้แก่ การถือครองคลื่นความถี่, โครงสร้างพื้นฐานและกลยุทธ์การขยายโครงข่าย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบศักยภาพระหว่างผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง AIS และ True ในแต่ละมิติ

มิติที่ 1: การถือครองคลื่นความถี่ (Spectrum Holdings)

คลื่นความถี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่เปรียบเสมือน “ที่ดิน” สำหรับสร้างถนนดิจิทัล ปริมาณและคุณภาพของคลื่นจึงส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของเครือข่าย

ปริมาณคลื่นความถี่รวม (Total Bandwidth):

ผู้ให้บริการ คลื่นความถี่รวม
AIS 1460 MHz
True 1350 MHz

จากข้อมูลจะเห็นว่า AIS มีปริมาณแบนด์วิธรวมมากกว่า ซึ่งตามหลักการแล้ว เครือข่ายที่มีแบนด์วิธกว้างกว่า ย่อมมีความสามารถในการรองรับผู้ใช้งานได้มากกว่า และมีศักยภาพในการทำความเร็วได้สูงกว่า

คุณภาพของคลื่นความถี่: นอกเหนือจากปริมาณรวม “คุณภาพ” ของผืนคลื่นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การมีคลื่นความถี่ที่เป็นผืนใหญ่ต่อเนื่องกัน (Contiguous Block) หรือที่เรียกว่า “Super Block” จะทำให้สามารถใช้งานคลื่นนั้นๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่าคลื่นที่กระจัดกระจาย

ในจุดนี้ AIS มีข้อได้เปรียบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการถือครองคลื่น 2600 MHz (n41) ซึ่งเป็นคลื่นหลักสำหรับ 5G ในปริมาณ 100 MHz ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ การมีบล็อกคลื่นที่กว้างเช่นนี้ถือเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่เอื้อต่อการทำความเร็วสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพการ Upload ได้ดีเป็นพิเศษ และทำให้ทุกคน “รับรู้” ได้ว่าใช้งานจริงแล้วใครลื่นกว่ากัน

มิติที่ 2: โครงสร้างพื้นฐานและกลยุทธ์การขยายโครงข่าย

การมีคลื่นที่ดีต้องถูกนำไปใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน

กลยุทธ์การสร้างเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน คือการใช้คลื่นย่านกลาง (Mid-Band) ที่มีความจุสูงอย่าง 2600 MHz (n41) เป็น “คลื่นหลัก” ในการให้บริการความเร็วสูงในพื้นที่ส่วนใหญ่ และใช้คลื่นย่านต่ำ (Low-Band) อย่าง 700 MHz (n28) เป็น “คลื่นเสริม” เพื่อการันตีความครอบคลุมทั่วประเทศ

จากภาพรวมที่ผ่านมา จะเห็นถึงความแตกต่างในกลยุทธ์ของผู้ให้บริการทั้งสองรายได้อย่างชัดเจน:

  • AIS: มุ่งเน้นการขยายโครงข่าย 5G ด้วยคลื่น n41 (2600 MHz) เป็นหัวใจหลัก อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ทำให้ในหลายพื้นที่ลูกค้าสามารถเข้าถึง 5G ที่มีความเร็วสูงและลื่นไหลได้จริง ซึ่งกลยุทธ์ที่เน้นการนำคลื่นที่ดีที่สุดไปใช้งานให้แพร่หลายที่สุดนี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ใช้งานโดยรวมของผู้ใช้โดยตรง
  • True: ในทางกลับกัน True เลือกใช้กลยุทธ์ที่เน้นการสร้าง Coverage 5G ด้วยคลื่น n28 (700 MHz) เป็นหลักก่อน เพื่อให้มีพื้นที่บริการ 5G ครอบคลุมในเบื้องต้น แล้วจึงทยอยเสริมประสิทธิภาพด้วยคลื่น n41 (2600 MHz) ในภายหลังตามพื้นที่ที่มีความต้องการใช้งานสูง

ความแตกต่างของกลยุทธ์นี้ ส่งผลให้ผู้ใช้งาน AIS มีโอกาสสัมผัสกับความเร็วและความแรงของ 5G ได้ในวงกว้างกว่า จากการที่เครือข่ายถูกออกแบบโดยให้ความสำคัญกับคลื่นประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับแรก

มิติที่ 3: ความได้เปรียบทางเทคโนโลยี (Technological Advantages)

ในโลกของ 5G เทคโนโลยีไม่ได้หยุดนิ่ง การนำเทคนิคขั้นสูงมาปรับใช้ จะช่วยดึงศักยภาพของเครือข่ายออกมาได้ถึงขีดสุด เทคโนโลยีนั้นคือ Carrier Aggregation (CA) หรือการรวมคลื่นความถี่

5G Carrier Aggregation (5G CA): คือเทคโนโลยีที่นำคลื่นความถี่หลายๆ ย่านมารวมกัน เพื่อทำงานพร้อมกันเสมือนเป็นท่อส่งข้อมูลขนาดใหญ่พิเศษ ทำให้ความเร็วสูงขึ้นและความเสถียรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ปัจจุบัน AIS เป็นผู้ให้บริการที่นำเทคโนโลยี 5G CA แบบ 3 คลื่น (3CC) มาใช้งานในเชิงพาณิชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อบริการ “5G+” โดยผสมผสานการทำงานของ 3 คลื่นสำคัญเข้าด้วยกัน:

  • n41 (2600 MHz): ทำหน้าที่เป็น “เครื่องยนต์หลัก” สร้างความเร็วสูงสุด
  • n28 (700 MHz): ทำหน้าที่ “ปูพรมสัญญาณ” เพื่อความครอบคลุม
  • n1 (2100 MHz): ทำหน้าที่ “เสริมทัพ” เพิ่มความจุและประสิทธิภาพ

การผนวกรวมคลื่น 3 ย่านในลักษณะนี้ ถือเป็นความสามารถทางเทคนิคที่ล้ำหน้า ซึ่งช่วยให้เครือข่ายสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ ทั้งความเร็ว ความครอบคลุม และความเสถียร นับเป็นข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีที่ชัดเจน เนื่องจากในปัจจุบัน บริการ 5G+ ในลักษณะของการรวมคลื่นหลายย่านความถี่ในเชิงพาณิชย์นั้น ยังไม่มีให้บริการบนเครือข่ายของ True

บทสรุปเชิงวิเคราะห์

เมื่อพิจารณาจากทั้ง 3 มิติ หลังการประมูลคลื่นในวันนี้ จะเห็นได้ว่า AIS มีความได้เปรียบในหลายแง่มุม เริ่มตั้งแต่การถือครอง ปริมาณคลื่นความถี่รวมที่สูงที่สุดเป็นปริมาณ 1460 MHz และยังมีความได้เปรียบเชิง คุณภาพจากการมีคลื่น Super Block ในย่านความถี่หลักของ 5G ผสานกับ กลยุทธ์การขยายโครงข่าย ที่เน้นนำคลื่นที่ดีที่สุด (n41) ไปสู่ผู้ใช้งานในวงกว้าง และปิดท้ายด้วย ความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี ผ่านการให้บริการ 5G CA (5G+) ที่สามารถรวมคลื่นได้ถึง 3 ย่านความถี่

ดังนั้น เมื่อประเมินจากปัจจัยชี้วัดทั้งหมด AIS จึงอยู่ในสถานะที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในการเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ของประเทศไทย ด้วยความได้เปรียบที่ครอบคลุมในทุกมิติสำคัญดังที่กล่าวมาครับ

Comments

comments