สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คือ รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป และจะยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เราได้แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับไอเดียใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แทนที่จะกล่าวถึงเทรนด์ที่เห็นอย่างชัดเจน โดยการคาดการณ์ The near future of technology ครอบคลุมมุมมองต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน รวมทั้งสิ่งที่แบรนด์จะต้องตระหนักถึง ดังนี้:

1. คำแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่รายการ​ Favorites

รายการโปรด​ หรือ “Favorites” จะถูกแทนที่ด้วย AI ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะพบว่าการรวบรวมและเรียกใช้ “รายการโปรด” เป็นความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ กล่าวคือ เราพอใจสิ่งต่างๆ ที่เราชอบอยู่แล้ว แทนที่จะสำรวจสิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายรสนิยมหรือความชอบของเราให้หลากหลายมากขึ้

เมื่อไม่นานมานี้ แทนที่ผมจะบันทึกเพลย์ลิสต์ที่พบเจอและชื่นชอบบน Spotify แต่​กลับยินยอมที่จะไว้ใจอัลกอริธึม ซึ่งเหมือนกับฟีเจอร์การฟังเพลงจากวิทยุแต่มีการ “ยกระดับ” ขีดความสามารถให้ดียิ่งขึ้น และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ประสบการณ์การเดินทางที่ชื่นชอบจะนำไปสู่ recommendation ซึ่งจะเข้ามาแทนที่การค้นหาข้อมูลบน Google

ทุกสิ่งที่คุณชื่นชอบจะกลายเป็นข้อจำกัดหรือการตีกรอบให้กับชีวิตของคุณ​ ​โดยคุณอาจจะสนใจอยู่แต่เรื่องเหล่านี้จนไม่มีโอกาสที่จะสำรวจประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่า (ตามกฎของความเป็นไปได้)  ยิ่งเราจำกัดตัวเองไว้เฉพาะที่ “รายการโปรด” เราก็ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะค้นพบประสบการณ์ที่ดีกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ AI สามารถช่วยคุณได้

2. คนรุ่นใหม่จะประกอบอาชีพที่มีหลากหลายบทบาท หรือ “Polygamous Careers” และทำให้โลกขององค์กรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

คนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานจะเลือกประกอบอาชีพหลากหลายด้าน หรือที่เรียกว่า “Polygamous Careers”  ความต้องการที่จะสร้างรายได้และเติมเต็มชีวิตผ่านการทำงานในหลายๆ ด้าน​จะช่วยดึงดูดพนักงานให้อยู่กับองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน  และช่วยให้บริษัทสามารถสรรหาบุคลากรชั้นนำที่ยากจะเข้าถึง อาชีพการงานของแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ระบุผลงานจากโครงการต่างๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นดีไซเนอร์ วิศวกร พนักงานขาย หรือนักลงทุนก็ตาม 

ยกตัวอย่างเช่น Polywork เป็นพัฒนาการที่ทันสมัยของ LinkedIn โดยมีการรวบรวมข้อมูลโปรไฟล์ของบุคคลอย่างละเอียดในระดับโครงการย่อยและผลงานต่างๆ แทนที่จะระบุเฉพาะตำแหน่งงาน ดังนั้นจึงอาจมีการระบุรายละเอียดต่างๆ ของงานอย่างเช่น เขียนโค้ด” “อัพเดตแอป iOS” หรือเป็นวิทยากรในการประชุมสัมมนาในโลกของการทำงานแบบ Polygamous Career เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่า และอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจก็คือ Braintrust ซึ่งเป็นเครือข่ายที่บุคลากรเป็นเจ้าของโดยบริษัทจะสามารถว่าจ้างกลุ่มฟรีแลนซ์และทำงานร่วมกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางหรือเสียค่าธรรมเนียมในการสรรหาบุคลากร และท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่เราชอบ หรือ “Tune-In Jobs” (รู้สึกเต็มอิ่มและมีส่วนร่วมอย่างมากกับงานที่ทำอยู่) ซึ่งต่างจาก “Tune-Out Jobs” (ซึ่งเราจะสนใจแต่เฉพาะเวลาเข้า-ออกงาน)  และโลกของเราก็จะพัฒนาไปข้างหน้าโดยอาศัยบุคลากรที่มีส่วนร่วมกับงานอย่างจริงจัง

3. การเติบโตของประสบการณ์แบบ Immersive จะทำให้การสร้างผลงาน 3 มิติกลายเป็นกระแสหลัก

“เมต้าเวิร์ส” (Metaverse) ทำให้การเล่นเกม​ การติดต่อกับเพื่อนๆ และทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานภายในโลกเสมือนจริงเป็นแบบเรียลไทม์ คณะกรรมการยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าอุปกรณ์ใดจะถูกใช้ในการสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าวที่สถานศึกษา ที่ทำงาน และที่บ้าน แต่เทรนด์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และทุกคนจะเข้าไปมีส่วนร่วมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามประสบการณ์นี้จะน่าเบื่อและไม่ได้รับความนิยม ถ้าหากไม่มีการใส่คอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟ 3 มิติที่ดึงดูดและมีการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล  รวมไปถึงสื่อประเภท Immersive แต่ปัญหาคือ คอนเทนต์ 3 มิติเป็นสิ่งที่สร้างยาก โดยเมื่อก่อนนี้ ในการสร้างวัตถุ 3มิติ จะต้องใช้โปรแกรมสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อน และมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์มากมาย จากนั้นก็จะต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ อีกหลายโปรแกรมสำหรับการวาดภาพประกอบและเรนเดอร์

เราได้เรียนรู้ว่านักออกแบบส่วนใหญ่ต้องการที่จะเริ่มต้นจากวัตถุ 3 มิติในสต็อก แทนที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น และวัตถุ 3 มิติในสต็อกที่ว่าจะนี้จะต้องสามารถกำหนดค่าพารามิเตอร์ ควบคุมจัดการได้ง่าย​เพื่อรองรับการทำงานครีเอทีฟ โดยปราศจากความยุ่งยากซับซ้อน ชุด Substance 3D ที่ประกอบด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณสามารถปั้นชิ้นงานวัตถุ 3 มิติ (เหมือนกับงานปั้นดิน) ด้วยการสวมใส่เฮดเซ็ตสำหรับ Virtual Reality (VR) จากนั้นก็ปรับแต่งเพิ่มเติมในโปรแกรมเดสก์ท็อปเพื่อทำให้ดูสมจริงมากขึ้น เราทุกคนจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบ 3 มิติได้ทันทีที่ประสบการณ์แบบ Immersive กลายเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง

4. “Stakeholder Economy” จะขับเคลื่อนแบรนด์เกิดใหม่และธุรกิจท้องถิ่น และส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่บนอินเทอร์เน็ต​ และตลาดซื้อขายสินค้าทั่วโลก

แบรนด์ต่างๆ จะถูกกำหนดด้วยมีม คอนเทนต์ และการสนทนาในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจและโครงการใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นชุมชนก็จะมีลักษณะกระจายศูนย์มากขึ้นเช่นกัน โดยโครงสร้างองค์กรใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้เจ้าของและลูกค้าเป็น​ stakeholders

5. ปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ ถูกกำหนดด้วยการสร้างคอนเทนต์ของมวลชน ซึ่งต่างจากการใช้บริการของเอเจนซี่ด้านครีเอทีฟและการซื้อโฆษณา และทุกวันนี้ แบรนด์ต่างๆ จะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีและสดใหม่ได้จำเป็นต้องอาศัยคอนเทนต์ล่าสุดที่เกิดขึ้น

ถ้าแบรนด์หรือบริษัทที่คุณชื่นชอบสามารถให้คุณเป็นเจ้าของได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของร่วมกันในบริษัทขนาดเล็กอาจกลายเป็นภัยต่อบริษัทขนาดใหญ่ ถ้า​ ​stakeholders ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนในธุรกิจดังกล่าวมีแรงจูงใจที่จะช่วยสร้าง ปรับปรุง ทำตลาด และสนับสนุนแบรนด์นั้นๆ ก็ย่อมจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน​ และในท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่อาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนแบบ “many-to-many” น่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดได้ดีกว่าธุรกิจแบบ “one-to-many”

เราทุกคนจะเลือกรับโฆษณามากขึ้นด้วยประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ได้เป็นอย่างดีจนทำให้การดูโฆษณาเป็นที่นิยมมากขึ้น​ การเจอโฆษณายาสีฟันไวท์เทนนิ่งหรือคอร์สลดน้ำหนักที่น่ารำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมทำให้คนเลือกที่จะไม่ดูโฆษณา อย่างไรก็ดี ประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล จะช่วยทำให้เกิด​การโฆษณารูปแบบใหม่ และโดยมากแล้วเราก็ชอบประสบการณ์แบบนี้มากกว่า

6. การบริการที่ เพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชน” เพื่อต่อกรกับผู้มีอำนาจ

ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์และเครือข่ายที่มุ่งขจัดอุปสรรค หรือโมเดลธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น​แอป DoNotPay ซึ่งมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในการต่อสู้กับระบบราชการ และหาหนทางขจัดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน บริการทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ประชาชน แทนที่จะต้องรอรับบริการในระบบที่อยู่เกินอำนาจการควบคุมของประชาชน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนอกจากจะช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทและดำเนินการอย่างรับผิดชอบ

7. ทุกส่วนงานขององค์กรจะแปรเปลี่ยนเป็น​ Immersive Experience รองรับ​ multi-player

สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือเรื่องของค่าใช้จ่ายและข้อเสียของระบบผู้เล่นหลายคน (Multi-player) ไม่ว่าจะเป็นแอปที่มีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อรองรับการทำงาน​ร่วมกันมากขึ้น หรือโปรโตคอลที่อาศัยฉันทามติ​ (consensus)​ บนบล็อกเชน อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับคุณประโยชน์และข้อเสียที่ตามมา กล่าวคือ คนกลุ่มนี้ต้องการที่จะทำงานร่วมกันมากกว่า แม้ว่าจะมีปัญหาและความล่าช้าเกิดขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานโดยลำพังเพียงคนเดียว แต่ทำได้เร็วกว่า

8. คนรุ่นใหม่จะชื่นชอบรูปแบบการใช้ชีวิต​และการทำงานแบบมีอิสระมากขึ้น ​(Nomad)

คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ตามบ้านเช่าหรือเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ทำงานจากระยะไกล และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมในชุมชนที่อาศัยอยู่เพิ่มมากขึ้น  ประสบการณ์ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับความหลากหลายอย่างเปิดกว้าง และการค้นหาตัวเองจะส่งผลดีต่อชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน มีผลิตภัณฑ์ หรือเครือข่ายประเภทใดบ้างที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าวได้ง่ายขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง? แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์และองค์กรนายจ้างที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ทิศทางนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต

9. โมเดลแฟรนไชส์แบบย้อนกลับและ “Eduployment” จะขับเคลื่อนการเติบโตและความยืดหยุ่นของธุรกิจขนาดเล็ก

แนวคิดเรื่อง “Eduployment” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะปลดล็อคอาชีพหลายล้านตำแหน่งในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้  Eduployment เป็นการบูรณาการเชิงลึกของการทำธุรกิจ การศึกษา และการหางานหรือเปิดบริษัทใหม่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Nana ซึ่งฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องล้างจาน) และช่วยให้ได้รับงานซ่อมแซมจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนบริษัท Hoist จะฝึกอบรมให้คุณเป็นช่างทาสี รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น และช่วยให้คุณหางานได้ภายในเวลา 30 วัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเปรียบเสมือนการทำธุรกิจแฟรนไชส์ 

10. ยุคของอัตลักษณ์ที่หลากหลาย (Multiple Identities): เราค้นหา ยอมรับ และแสดงออกซึ่งตัวตนที่หลากหลายของเรา

ยุคสมัยล่าสุดของโซเชียลเน็ตเวิร์กยอมรับ หรืออย่างน้อยก็รองรับการใช้นามแฝง แต่ในยุคหน้า โซเชียลเน็ตเวิร์กจะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับความจริงที่ว่าผู้ใช้ทุกคนมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย  แน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราไม่ต้องการที่จะถูกจำกัดหรือจำแนกด้วยอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกกำหนดโดยคนอื่นๆ รอบตัวเรา  แม้ว่าเรามีจินตนาการและความต้องการที่จะเป็นใครสักคนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งต่างจากสิ่งที่คนอื่นๆ บอกว่าเราเป็น แต่ก็มีอุปสรรคและแรงเสียดทาน ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และสถานการณ์แวดล้อม (ภูมิลำเนา รูปร่างหน้าตา คนที่คุณพบเจอ) ที่ถูกกำหนดอย่างตายตัวมากเกินไป และจะต้องใช้ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความท้าทายอย่างมากเพื่อจะสามารถหลุดจากกรอบที่ว่านี้

บทความประชาสัมพันธ์โดย

A person in a suit

Description automatically generated with medium confidence

Scott Belsky, Chief Product Officer และรองประธานบริหารอะโดบี​ ครีเอทีฟคลาวด์

สก็อต เบลสกี้ เป็นผู้ประกอบการ (Behance, 99U), ผู้บริหาร (อะโดบี), ผู้แต่งหนังสือ (The Messy Middle, Making Ideas Happen) และนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 80 แห่ง (รวมถึงธุรกิจหลายแห่งที่กล่าวถึงในบทความนี้) และมีความหลงใหลในผลิตภัณฑ์หลากหลาย​ ผู้สนใจสามารถติดตามการสนทนาและค้นหาสก็อตได้ทา Twitter ดูโพสต์ล่าสุดอื่นๆ อย่างเช่น “What is Seeing The Matrix for Product Leaders?” “8 Themes for the Future of Tech” และอ่านหนังสือเล่มล่าสุดของเขา — The Messy Middle หรือลงทะเบียนเพื่อรับจดหมายข่าวเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึก

Comments

comments