Wi-Fi 7 มาถึงเมืองไทยแล้ว! Wi-Fi ที่รอคอยมานาน และจะอยู่กับเราไปเป็น 10 ปีข้างหน้ามาถึง มาให้สัมผัสได้แล้ว การลงทุนเพื่ออนาคตอันยาวไกลไม่มีเวลาไหนดีเท่าตอนนี้ ถึงแม้หลายคนที่เป็นกูรูจะบอกว่า BE (Wi-Fi 7) ยัง draft อยู่ ยังไม่ Official กระนั้นก็ดี standard  ที่หลายแบรนด์นำมาใช้ผลิตแต่เนิ่น ๆ ก็รองรับการอัพเดท firmware ซึ่งถ้า version final ออกมาก็แค่อัพเดทให้เป็นปัจจุบันเพราะสาระสำคัญนั้นเป็นที่ยุติมาเป็นเวลาพอควรแล้ว อย่างไรก็ตาม ทาง กสทช. ได้ออกประกาศอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้คลื่นความถี่ย่าน 6GHz เป็นการทั่วไปได้แล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และเราก็พอจะมีโอกาสเห็น Wi-Fi Router ที่ปล่อยคลื่น 6GHz ลงสู่ตลาดมาบ้าง ก็ได้ทาง TP-Link เป็นรายแรกที่นำ Router Wi-Fi 6E ที่ผ่านการทำ firmware ให้ใช้คลื่น 6GHz ช่วงคลื่นตามที่ กสทช.กำหนดมาทำตลาดเมืองไทยร่วมกับ AIS Fibre ในรุ่น DECO-XE75 Pro พอหลังจากนั้นไม่นาน (ภายหลังจากที่เปิดตัวที่ฝั่งอเมริกาเหนือ และฝั่งยุโรป) ก็ถึงคิวประเทศไทย ที่ TP-Link เปิดตัว อุปกรณ์ Network LINE-UP จัดเต็ม รองรับ Wi-Fi 7 ทั้งการใช้งานในครัวเรือน อุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางและแน่นอนว่าใช้คลื่น 6GHz ได้ถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการจัดทำ firmware ให้เข้ากับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี เพราะคลื่น 6GHz ที่ใช้ในไทยนั้นอยู่ในช่วงช่อง 37 ถึง 93 ซึ่งสามารถปล่อย BW ระดับ 320 MHz พร้อมกันได้ถึง 4 คลื่นแบบไม่รบกวนกันซึ่งถือว่าเพียงพอในระยะยาว

Wi-Fi 7 มีความสำคัญอย่างไร?

Wi-Fi 6 ที่ว่าแรงแล้วก็ยังได้แค่ครึ่งเดียวของ Wi-Fi 7 เพราะหลักสำคัญและหัวใจของ Wi-Fi 7 คือการใช้ความคลื่นความถี่ในปริมาณที่สูงกว่าถึง 1 เท่าตัว จาก 160 MHz เป็น 320 MHz บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz ยังไม่นับรวมเทคโนโลยีการรับส่งสัญญาณที่อัด Modulation จากสูงสุด 1024QAM ใน Wi-Fi 6 เป็น 4KQAM หรือ 4096QAM บน Wi-Fi 7 และสิ่งสำคัญที่สร้างความต่างเป็นลูกเล่นใหม่ที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานไวไฟให้เราได้ใช้คลื่นความถี่ต่างๆแบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปส่วนไหนของบ้านด้วย MLO หรือ Multi Link Operation เชื่อมต่อ 2-3 Channel ระหว่าง 2.4GHz 5GHz และ 6GHz เข้าด้วยกันเพียงการเชื่อมต่อ SSID เดียว ระบบจะเลือกใช้งานคลื่นที่เหมาะสม ทำความเร็วสูงสุดให้แบบมีเสถียรภาพและความหน่วงที่ต่ำที่สุดให้เราใช้เองโดยอัตโนมัติ ทำให้เราได้ความเร็วสูงสุดอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องคอยสลับคลื่น SSID เองและมีความต่างจาก Band Steering ที่เราคุ้นเคยใน Wi-Fi รุ่นก่อนหน้าซึ่งหลายคนพบปัญหาการเชื่อมต่อ แต่เมื่อเป็น MLO แล้วคือต่างกันอย่างสิ้นเชิง การใช้งานก็ง่ายดายเพียงแค่ enable MLO ใน Router ไว้และเชื่อมต่อ SSID ที่ตั้งเป็น MLO ซึ่งใช้ชื่อเฉพาะแตกต่างจาก SSID ปกติ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ทุกคลื่นความถี่ที่ปล่อยมาได้ความเร็วแรงและเสถียรภาพระดับสูงสุดตลอดเวลาแม้เคลื่อนที่หรือเข้าไปอยู่ในมุมอับใดๆก็ตาม

SPEC ของ Archer BE800

BE800 ใช้เสาอากาศภายในประสิทธิภาพสูง 8 ต้นวางในตำแหน่งที่เหมาะสมตามความถี่ที่ต่างกัน ปล่อยไวไฟออกมาทั้งหมด 3 คลื่นพร้อมกัน ได้แก่ 2.4GHz ช่อง 1-11 20/40MHz , 5GHz ช่อง 36-64, 100-144 หรือ 149-165 20/40/80/160 MHz และ 6GHz ช่อง 37-93 20/40/80/160/320 MHz รวมความเร็วสูงสุดที่ 19Gbps ด้วย Modultion แบบ 4KQAM รองรับการทำ MLO ครบทุกคลื่น ในด้าน Port การเชื่อมต่อก็อยู่ในระดับ TOP ได้แก่ Port 10Gbps ที่รองรับทั้ง WAN และ LAN จำนวน 2 Port , SFP+ 10G จำนวน 1 Port มาพร้อมกับ LAN Port 2.5Gbps จัดเต็มถึง 4 Port มาพร้อมระบบไฟ LED Screen ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการเพิ่มความสวยงามและดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ CPU และแรมที่ทำให้ความหน่วงหรือ Latency ออกมาต่ำรองรับปริมาณ user หรือการใช้งานพร้อมกันได้หลักร้อยอุปกรณ์ขึ้นไป นอกจากนี้ยังรองรับการทำ Easy mesh กับอุปกรณ์แบรนด์ TP-Link ได้อย่างสะดวกสบาย

แกะกล่อง Archer BE800

เปิดออกมาเราก็จะพบตัวเครื่อง BE800 ขนาดเท่าๆกับ Computer Desktop ทรงไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป วางในแนวตั้ง ด้านหน้ามีปุ่ม WPS , ปุ่มลัดเปิด-ปิดไวไฟ และปุ่มลัดสำหรับหรี่-เพิ่มระดับหรือปิดไฟ LED Screen ด้านหลังมี Port เชื่อมต่อระดับ Multi-gig จำนวน 6 Port และ SFP+ 10Gbps อีก 1 ช่อง มีปุ่มสำหรับเปิด-ปิดเครื่อง รวมถึงช่อง USB 3.0 ทำ file Sharing และช่องต่อสายไฟจาก Power  Adapter

ในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว ยังมีคู่มือการใช้งานอย่างย่อและสายแลน cat 6 1 เส้น มีเข็มจิ้มสำหรับทำการ Reset และ Power Adapter มาให้อย่างครบครัน

การตั้งค่า Wi-Fi 7 ไม่ใช่เรื่องยากและซับซ้อน

9 ขั้นตอนง่ายๆในการตั้งค่าผ่าน App Tether ซึ่งหาติดตั้งบน SmartPhone/Tablet ได้จาก Appstore และ PlayStore เมื่อติดตั้งแล้วให้ทำการเสียบสายเน็ตตรง Port ที่ต้องการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น WAN หรือ SFP+ ที่รองรับสูงสุดถึง 10Gbps  และเชื่อมต่อไวไฟครั้งแรกจาก SSID ที่อยู่หลังเครื่อง จากนั้น เปิด App Tether แล้วทำตามหน้าจอการตั้งค่าหรือจะเข้ามากดที่ Tab ขวาสุดตรง More แล้วเลือก Quick Setup ทำตามขั้นตอน 1-9 ตามภาพได้ทันที เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้วก็อยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน เราสามารถตั้งค่าแบบละเอียดหรือ Advance มากขึ้นได้ผ่าน web browser ที่ Address http://tplinkwifi.net

เปิดฟีเจอร์เด็ดของ Wi-Fi 7 ที่มาใน BE800 แบบครบครัน

นอกจากฟีเจอร์พื้นฐานของไวไฟทั่วไปสามารถปรับตั้งค่าผ่านทาง App Tether ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องอธิบายให้มากความแล้ว ยังมีฟีเจอร์สำคัญ ๆ ที่ทำให้ Wi-Fi 7 เหนือกว่า ดีกว่า ปรับปรุงมาจากพื้นฐานของมาตราฐานเดิมหรือ Wi-Fi 6 ได้แก่

1) TWT (Target Wake Time) การเปิดฟีเจอร์นี้จะทำให้การเชื่อมต่อไวไฟประหยัดพลังงานได้มากขึ้น แนะนำให้เปิดไว้ หากอุปกรณ์รองรับจะทำให้ลดการบริโภคแบตอันเกิดจากการเชื่อมต่อตลอดเวลาไปได้ จากการทดสอบ พบว่าแบตลดลงน้อยกว่าการเชื่อมต่อกับ Router ที่ไม่รองรับฟีเจอร์นี้อย่างชัดเจน ส่วน ฟีเจอร์ OFDMA – MU-MIMO ฟีเจอร์นี้ช่วยทำให้การรับส่งข้อมูลได้ปริมาณที่มากขึ้นและทำได้พร้อมกันโดยไม่ต้องหยุดรอกัน แนะนำให้เปิดไว้ตลอดทั้ง 2 option

2) PSC  (Prefer Scanning Channel) เพราะคลื่น 6GHz มี Bandwidth ขนาดใหญ่ถึง 320 MHz การเปิดหรือ Enable PSC จะช่วยทำให้อุปกรณ์ที่รองรับคลื่น 6GHz สามารถค้นหา SSID ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นช่องที่ทำมาให้สแกนเจอได้ง่ายสุดของทุกช่วงคลื่น (มีช่อง 37,53,69 และ 85)

3) MLO (Multi Link Operation) Network

ฟีเจอร์เด็ดที่สร้างความต่างจาก Wi-Fi 6 สามารถนำ LinkSpeed หรือ Bandwidth ของแต่ละความถี่ที่เปิดใช้อยู่ด้วยการเลือกใช้ทรัพยากรคลื่นส่วนที่ดีที่สุดในเงื่อนไขสภาวะของการรับคลื่นบริเวณนั้นมาให้บริการ คล้ายการเป็น Load Balance คลื่นตลอดเวลา มีเงื่อนไขคืออุปกรณ์ปลายทางต้องรองรับ Wi-Fi 7 ด้วย โดยเราสามารถเปิดฟีเจอร์นี้ไว้ได้หากมี SSID หลักที่ต่างคลื่นกันเปิดอยู่ 2 คลื่นขึ้นไป โดยตั้งชื่อใหม่เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ซ้ำกับ SSID ที่มีอยู่ เช่น AWN-MLO ใช้คำว่า MLO ต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่านี่คือ SSID MLO ที่เราเปิดใช้งาน

เพียงเท่านี้ การเชื่อมต่อกับ AWN-MLO จะทำให้เราใช้งานคลื่นทุกคลื่นได้ปริมาณ Bandwidth ที่สูงที่สุด Latency ที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเคลื่อนที่ออกห่างจาก BE800 ไปเท่าใด (แต่ไม่เกินระยะทำการของทุกคลื่น) ความเร็วที่ใช้งานได้ก็จะสูงสุด ดีที่สุดแบบไม่ต้อง manual สลับคลื่นให้เสียเวลา

4) Multi-RUs (Multiuser Resource Unit)

เป็นเทคนิคเพื่อเพิ่มศักยภาพ ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล โดยการนำเอา RU ขนาดเล็กที่ไม่ได้ถูกใช้งานเข้ามาทำงานร่วมกันกับ RU ที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อการ Tranmission ข้อมูลในระดับสูงสุด เปรียบเหมือนรถบรรทุกที่สามารถวิ่งเข้าเลนธรรมดาที่ว่างอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งแค่ในเลนรถบรรทุกเท่านั้น ส่งผลให้ความเร็วโดยรวมนเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก ฟีเจอร์นี้ไม่ต้อง enable เพราะเปิดใช้งานสำหรับไวไฟ 7 เป็นค่าเริ่มต้น

การทดสอบประสิทธิภาพ Archer BE800

ในการทดสอบความเร็วเพื่อวัดประสิทธิภาพ BE800 ที่เชื่อมต่อกับเน็ต 2Gbps นั้น เราใช้ SmartPhone 2 รุ่น ได้แก่ Xiaomi 13T Pro ที่สามารถใช้งาน Wi-Fi 7 ได้ครบทุกคลื่นในไทย และ SmartPhone ยอดนิยม iPhone 15 Pro Max ที่รองรับแค่ Wi-Fi 6 เพื่อครอบคลุมการใช้งานทุกคลื่นและทุกเทคโนโลยีว่าจะได้ผลออกมาเช่นไร

1) ทดสอบประสิทธิภาพคลื่น 2.4 GHz ในรูปแบบ Wi-Fi 7 เราได้ LinkSpeed กับ Xiaomi 13T Pro ถึง 688Mbps ที่ BW 40MHz ทำความเร็วในระยะ 2-3 เมตรจาก BE800 ได้ Speeed สูงสุดราว 300Mbps

2) ทดสอบประสิทธิภาพคลื่น 5 GHz ในรูปแบบ Wi-Fi 7 เราได้ LinkSpeed กับ Xiaomi 13T Pro ถึง 2882Mbps ที่ BW 160 MHz ทำความเร็วระยะ 2-3 เมตรจาก BE800 ได้ Speed สูงสุดราว 1.75 Gbps

3) ทดสอบประสิทธิภาพคลื่น 5 GHz ในรูปแบบ Wi-Fi 6 เราได้ LinkSpeed กับ iPhone 15 Pro Max 2401Mbps ที่ BW 160 MHz ทำความเร็วระยะ 2-3 เมตรจาก BE800 ได้ Speed สูงสุดราว 1.8 Gbps 

4) ทดสอบประสิทธิภาพคลื่น 6 GHz ในรูปแบบ Wi-Fi 7 เราได้ LinkSpeed กับ Xiaomi 13T Pro ถึง 5764Mbps ที่ BW 320 MHz ทำความเร็วระยะ 2-3 เมตรจาก BE800 ได้ Speed สูงสุดราว 2.1 Gbps 

5) ทดสอบระยะทำการของ Wi-Fi เมื่ออยู่ห่างจาก BE800 ไปประมาณ 10-15 เมตร แบบมีกระจกและม่านกั้น โดยเลือกการเชื่อมต่อกับ SSID ที่เป็น Wi-Fi 7 ด้วย Xiaomi 13T Pro ดูค่า RSSI อยู่ที่ -60 dBm บนคลื่น 6 GHz และ -52 dBm บนคลื่น 5 GHz เราได้ความเร็วที่น่าประทับใจระหว่าง  1.3 – 1.6Gbps ในทุกครั้งที่กด Speed Test ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ Router หรือห้องเดียวกัน ก็ทำความเร็วได้เกิน 1Gbps

6) ทดสอบผ่านสายแลนเข้ากับ SmartPhone ผ่าน type C ด้วย iPhone 15 Pro Max เราได้ความเร็วเกินแพ็กเกจที่ 2.2 Gbps Latency ต่ำมากถึง 4ms

บทสรุป

TP-Link Archer BE800 นับเป็น Wi-Fi 7 Router ในระดับ TOP ตัวแรก ๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดในไทยและไม่ทำให้ผิดหวัง โดยวัดจากประสิทธิภาพที่ได้จากอุปกรณ์ปลายทางที่รองรับ Wi-Fi 7 และไม่รองรับ ล้วนได้เสถียรภาพ ความเร็ว และความครอบคลุมแบบไม่ต้องใช้ Mesh Wi-Fi มาช่วยแต่อย่างใด พร้อมอำนวยความสะดวกสบายในการใช้งาน เชื่อมต่อด้วย MLO SSID เดียวก็จบครบทุกอย่างไม่ว่าจะเคลื่อนที่หรือย้ายสถานที่การใช้งานไปบริเวณใดก็จะได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมตลอดเวลา ไม่นับถึงความเร็วที่กินขาด Wi-Fi 6 และไม่ต้องห่วงว่าจะเปิด BW กว้างแล้วจะไปชนกับ DFS Channel ทั้งเรด้าร์หรือ Router บ้านอื่น เพราะ Wi-Fi 7 ที่ 320 MHz สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรอการ Scan แบบที่เคยเจอใน Router AX HE160 ที่ผ่าน ๆ มา ประสิทธิภาพสูงสุดที่ได้จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อัดแน่นมาอย่างเต็มที่ทำให้เรามั่นใจว่าการลงทุนที่จะซื้อ Router Wi-Fi ดีๆ ไว้ใช้งานในระยะยาวนั้น Archer BE800 จะอยู่กับคุณไปได้อีกยาวนานแบบไม่ต้องเหลียวมองรุ่นอื่น ๆที่จะคลอดตามมาอีกไม่ช้าได้อย่างแน่นอน…

รายละเอียดเพิ่มเติม Archer BE800: https://bit.ly/47oNArE

️🛒 เป็นเจ้าของ Archer BE800 ได้แล้ววันนี้ที่:
Shopee: https://bit.ly/47D8gwg
Lazada: https://bit.ly/40GWCxW

#ArcherBE800 | #WiFi7Router
#TPLINK | #TPLINKTH | #WiFi7 | #WiFiLikeNeverBefore
#320MHz | #6GHz | #MLO | #4096QAM | #MultiRU

Comments

comments