ด้วยความตื่นเต้นกับมิติใหม่แห่งวงการ คราวที่แล้วเราได้รีวิวเน็ตบ้าน 2Gbps ของ AIS Fibre ไปตอนสิ้นปีหลังเปิดตัวไม่กี่วัน พอได้ปรับจูน ปรับแต่ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในระดับสูงสุดเพื่อดึงศักยภาพของเน็ต 2Gbps ออกมาใช้งานได้เต็มที่ จึงค้นพบข้อเท็จจริงหลายอย่างที่อยากจะมาแชร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่สนใจจะอัพเกรดไปใช้ต้องควรจะได้ทราบ

เน็ต 2Gbps ใช้พลัง ใช้ทรัพยากรของ Router มากกว่าปกติหลายเท่า

การใช้งานเน็ตความเร็วสูงที่เกิน 1Gbps จำเป็นต้องมี router หลักที่ใช้ประมวลผลที่มีพละกำลังเพียงพอ (powerfull) ทั้งนี้ประกอบด้วย แรม และ ซีพียู ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ หากใช้งานกับ router สเปคที่แรงไม่พอก็เปล่าประโยชน์หรือไร้ค่า เพราะเน็ตที่วิ่งผ่าน จะใช้งานได้ความเร็วไม่เต็ม 2Gbps ดังนั้นหากเน็ตบ้านรายใดที่เสนออุปกรณ์ประเภท All in One เป็นทั้ง ONU Router และ Accesspoint ในตัวเดียวกันรับประกันล่วงหน้าได้เลยว่าประสิทธิภาพที่ได้ จะออกมาไม่ดีเท่าการติดตั้งเป็นลักษณะแบบแยกหน้าที่ เช่น Smart Optical Converter ต่อเข้า Router แล้วค่อยกระจายเน็ตผ่าน switch hub แล้วออกไวไฟทาง AccessPoint หรือ Mesh อีกที “ยิ่งแบ่งหน้าที่กันทำยิ่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น” ซึ่งตรงกันข้ามกับ “ทำทุกอย่างในตัวเดียว”

เน็ต 2Gbps ควรมีทางเลือกอย่างหลากหลายในการใช้งาน

ด้วยความที่เน็ต 2Gbps ต้องใช้ทรัพยากรสูง การสมัครแพ็กเกจควรพิจารณาจากความต้องการในการใช้งาน เช่น หากมีอุปกรณ์ที่ทรงพลังอยู่ในครอบครองอยู่แล้ว เช่น มี Router ASUS AX89x อยู่แล้ว มี Xiaomi AX9000 อยู่แล้ว ถ้าจะนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ครบ 2Gbps จำเป็นต้องสมัครแบบ BYOD หรือแพ็กเกจที่รองรับการใช้อุปกรณ์ของเราเองเท่านั้น เพราะหากสมัครแบบที่ผู้ให้บริการแถม Router All In One มาให้ จะทำให้อุปกรณ์อันทรงพลังที่เรามีนั้นไร้ค่าไปเลย เหตุเพราะ Router All in One ที่ให้มานั้น ไม่มี Port LAN 2.5Gbps ที่จะนำมาเชื่อมต่อให้สามารถดึงเน็ตที่วิ่งเกิน 1Gbps ออกมากระจายสัญญาณได้ อย่างที่ได้เคยรีวิวเน็ตบ้าน AIS Fibre แบบ BYOD จะเห็นว่าสามารถนำเน็ต 2Gbps ออกมาใช้ได้ครบ ทั้งผ่านสายและไร้สาย เพราะ Router ASUS AX89x นั้นมี port WAN 10G และ port SFP+ 10G ทำให้การเชื่อมต่อสมบรูณ์แบบทั้งสองทาง

เน็ต 2Gbps กับการกระจายไวไฟให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

จากการทดสอบ Wi-Fi Router แบรนด์ดังหลายรุ่นที่รองรับ Wi-Fi 6 HE160 และมี port WAN 2.5Gbps พบว่าความเร็วที่ได้เมื่อทดสอบกับอุปกรณ์ที่รองรับ หากเปิดใช้งานแบบ Routing mode ส่วนใหญ่ความเร็วที่ได้จะอยู่ราว ๆ 1.1-1.3Gbps เท่านั้น สาเหตุก็อย่างที่ทราบ ว่าเป็นปัญหาของทรัพยากร หรือสเปค router ที่ไม่แรงพอ ทางแก้คือ ควรใช้อุปกรณ์ routing ที่มี port การเชื่อมต่อระดับ 10G มากกว่า หรือ Router ที่มีภาคส่งแบบ 4K QAM อย่าง Xiaomi AX9000 ก็จะทำให้รีดพลังไวไฟออกมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนกับ Router ประเภท All in One คือการกระจายไวไฟจะได้ความเร็วที่ต่ำกว่า 1.9-2Gbps แบบห่างไกลความจริงเป็นอย่างมาก ดังนั้นอย่าคาดหวังความเร็วระดับ 2Gbps เมื่อเลือกอุปกรณ์ใช้งานประเภทนี้

เน็ต 2Gbps กับอุปกรณ์เชื่อมต่อผ่านทางสายแลน

หากจุดประสงค์ของการใช้งานเน็ต 2Gbps คือความเร็วของแต่ละอุปกรณ์ที่เราจะนำมาเชื่อมต่อต้องเกิน 1Gbps สิ่งที่ควรพิจารณาคือ อุปกรณ์เหล่านั้นต้องรองรับหรือมี port 2.5/10G เป็นขั้นต่ำถึงจะทำให้ความเร็วที่ได้ออกมาครบ 2Gbps ซึ่งนอกจากจะต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับแล้ว อุปกรณ์กระจายสัญญาณหรือ switch hub ก็ต้องปล่อยมาเป็นแบบ multi gig ด้วย ดังนั้นหากเป็น router ที่เชื่อมกับเน็ต 2Gbps ไม่มีช่องแลน หรือ SFP+ ขาออกเป็น 2.5/10G อย่าง router All In One ก็จะทำให้ใช้งานได้ความเร็วผ่านแลน 4-5 ช่องที่ไม่เกินช่องละ 1Gbps บางครอบครัวที่ไม่ได้เน้นว่าต้องเร็วเกิน 1Gbps แต่อยากให้เน็ตในบ้านได้แชร์ใช้ไม่คอขวดรวมกันที่ 1Gbps ก็อาจจะเหมาะสมกับอุปกรณ์ประเภท All In One ได้

สรุป ก่อนสมัครเน็ตบ้าน 2Gbps กับผู้ให้บริการรายใดก็ตาม ต้องสำรวจความพร้อม ความต้องการให้เรียบร้อยเสียก่อน เป็นต้นว่า อุปกรณ์ที่จะใช้งานเป็นแบบไหน อุปกรณ์ที่ได้รับจากการติดตั้งเน็ต 2Gbps เป็นแบบไหน 2Gbps ที่จะได้ เป็นความเร็วเต็มสปีดจริงๆ หรือไม่ หากมีอุปกรณ์แรง ๆ อยู่แล้ว คิดจะสมัครประเภทที่ได้ติดตั้งเป็น All in One มาให้ ก็ถือว่าตัดประสิทธิภาพที่ควรจะได้ออกไปเป็นอย่างมาก หากไม่มีแพคเกจ BYOD ให้เลือก จะแอบเรียกได้ว่าจ่ายแพงเกินจริง รวมถึงความเร็วในการเชื่อมต่อแบบทางสายแลนที่เป็นตัวล้อคให้แต่ละอุปกรณ์วิ่งได้ไม่เกิน 1Gbps ทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้เป็นข้อจำกัดที่เราจะต้องทราบ ก่อนไปติดสัญญาระยะยาว 24 เดือน ถ้าเลือกได้สมัครแบบใช้อุปกรณ์ที่เรามีหรือ BYOD เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการปลดล้อคข้อจำกัดต่าง ๆ แต่ก็ขึ้นกับงบประมาณที่เรามีด้วยเป็นสิ่งสำคัญ หากงบจำกัดต้องใช้อุปกรณ์จากฝั่งผู้ให้บริการ ก็ควรเลือกรายที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เป็นแบรนด์ router ที่ได้รับการยอมรับจากสากล เช่น Linksys ASUS TP-Link ก็จะใช้งานได้ดีกว่าแบบ All In One ที่ทำหน้าที่ทุกอย่างจบในตัวเดียว

Comments

comments